ส่วนใหญ่ไม่ใช่ความรู้ผมหลอกครับ....ความรู้พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ผมเพียงแค่เอามาบอกใหม่...โมทนาสาธุเช่นกัน.....ตั้งใจปฏิบัติครับ....
เพราะเมื่อกายเกิดทุกขเวทนา แต่อารมณ์ของใจเป็นปกติ ไม่เกิดอารมณ์ทุกข์วุ่นวายกระสับกระส่ายตามทุกข์ที่เกิดขึ้นที่ร่างกาย ไม่เกิดความคิดปรุงแต่งตามอารมณ์ จิตเป็นอุเบกขาแยกแยะทุกข์ตามความเป็นจริง เพราะทุกข์ที่เกิดขึ้นที่ร่างกายเป็นไปตามความเสื่อมของสังขาร แต่ทุกข์ที่เกิดขึ้นที่ใจ เกิดจากการที่เราหลงยึดอุปทานทุกข์ที่เกิดขึ้นที่ร่างกาย
การพิจารณาเวทนา.. ควรพิจารณาทุกขเวทนา เพราะเป็นทุกขสัจจ์ พิจารณาทุกขเวทนาทางกายเป็นส่วนหนึ่ง ทุกขเวทนาทางจิตเป็นส่วนหนึ่ง แยกออกจากกัน หากเกิดทุกขเวทนาทางกาย แต่ใจไม่เกิดทุกขเวทนาทางจิต นั่นแหละ...จึงจะแยกอารมณ์กับความคิดจากจิตได้สิ้นเชิง
จิตที่ไม่สงบ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ปรุงแต่งตามกิเลส แยกอารมณ์ความคิดกับจิตไม่ได้ เป็นจิตที่ไม่อิสระเป็นหนึ่ง มีกิเลสครอบงำให้หลงตามอุปทานความคิด จึงแตกต่างกับจิตสงบ มีความตั้งมั่น สติแนบแน่นมีหลักใจ กำลังความสงบของจิตเป็นพลังในการซักฟอกทางปัญญา ทำให้รู้เห็นตามความเป็นจริง เป็นธรรมดับกิเลส
จิตสงบ...อารมณ์เป็นหนึ่งร่างกายตัวตนหายไป ลมหายใจละเอียดจนรุ้สึกเหมือนลมหายใจหายไป นี่เรียกว่า เอกัคตาจิต การเข้ามาถึงฐานจิต.. ความรู้สึกเหมือนตกจากที่สูง จิตจะหดตัวสู่ความสงบ สติแนบแน่นกับใจเป็นหนึ่งเดียว เมื่อถึงฐานของจิต จิตจะสงบ สว่าง รู้เฉยเบิกบาน มีเพียงผู้รู้ เท่านั้น จะเข้าถึงธรรมชาติของจิตเดิมแท้ ที่ไม่มีอารมณ์ปรุงแต่ง (ต่อ)
เชิญทำบุญซื้อ อิฐ หิน ดิน ทราย เหล็ก ปูน สร้างศาลาแก้วครอบสมเด็จองค์ปฐม เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างพระประธานสมเด็จองค์ปฐมและศาลาแก้วพระจุฬามณี ที่ จ.นครศรีธรรมราช (สำนักสงฆ์ธรรมเจริญ) [IMG]