"ซกเชน" คำสอนแห่งพระพุทธเจ้าสมณโคดม ทำให้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ในชาติเดีย เป็นเนื้อหาธรรมของซกเชนที่ทางเถรวาทไม่ยอมรับ มีดังนี้ บารมี 6 ที่พระโพธิสัตว์ปฏิบัตินั้นประกอบด้วยเมตตา 5 ปัญญา 1 เมื่อปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว พระโพธิสัตว์ก็บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ได้ สามารถบรรลุความเป็นตรีกายได้คือ ธรรมกาย สัมโภคกาย และนิรมานกาย ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นพื้นฐานที่ต้องมีความเป็นพระโพธิสัตว์ต้องบังเกิดเพื่อ บรรลุความสำเร็จในการปฏิบัติวัชรยานต่อไป ฉะนั้นจึงแยกความเป็นมหายาน และวัชระยานออกจากกันไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าได้สอนเรื่องของวัชรยานไว้ ตั้งแต่สมัยพุทธกาล เช่น กาลจักระ ตันตระ ซึ่งเป็นบทปฏิบัติตันตระชั้นสูง พระพุทธเจ้าได้เทศนาหลังจากได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว 1 ปีพระ พุทธเจ้าได้เทศนาสอน แก่พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญในภูมิที่สูง (ไม่มีปรากฏใน เถรวาท ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพุทธมหายานหรือวัชรยานอาจเกิดความไม่เข้า ใจ) คำสอนตันตระถือได้ว่าเป็นคำสอนลับเฉพาะ
พุทธมหายานถืออุดมคติ 3 ประการ คือ 1.หลักมหาปัญญา ในหลักการข้อนี้ฝ่ายมหายานได้อธิบายหลักอนัตตาซึ่งเป็นคุณลักษณะพิเศษในพุทธศาสนาออกไปอย่างกว้างขวางลึกซึ้งมากพิสดารยิ่งกว่าในฝ่ายเถรวาท มหายานเรียกว่า ศูนยตา แทนคำว่า อนัตตา ในส่วนปฏิบัติของบุคคลทางฝ่ายมหายานถือว่าบุคคลจะพ้นทุกข์ได้ก็ด้วยการเข้าถึงศูนยตา ซึ่งมี 2 ชั้น คือ บุคคลศูนยตาและธรรมศูนยตา บุคคลศูนยตา ได้แก่การละอัสมิมานะซึ่งทำให้บุคคลบรรลุอรหันต์ ส่วน ธรรมศูนยตา ได้แก่การละความยึดถือแม้ในพระนิพพานซึ่งเป็นภูมิของพระโพธิสัตว์ชั้นสูง 2.หลักมหากรุณา ได้แก่การตั้งโพธิจิตมุ่งพุทธภูมิ ไม่มุ่งอรหันต์ภูมิ ในทัศนะมหายานเห็นว่าอรหันต์ภูมิช่วยคนได้น้อย เพราะฉะนั้นจึงควรมุ่งพุทธภูมิซึ่งในขณะที่ยังมิได้บรรลุต้องสร้างบารมีเพื่อช่วยสัตว์ ดังนั้น ทางฝ่ายมหายานจึงย่อทศบารมีลงเหลือ 6 คือ 2.1ทานปารมิตา พระโพธิสัตว์จะต้องสละทรัพย์ อวัยวะและชีวิตเพื่อสัตว์โลกได้โดยไม่อาลัย 2.2 สีลปารมิตา พระโพธิสัตว์ต้องรักษาศีลอันประกอบด้วยอินทรีย์สังวรศีล กุศลสังคหศีล ข้อนี้ได้แก่ การทำความดีสงเคราะห์สัตว์ทุกกรณี สัตวสังคหศีล คือการช่วยให้พ้นทุกข์ 2.3 กษานติปารมิตา พระโพธิสัตว์ต้องสามารถอดทนต่อสิ่งกดดันเพื่อโปรดสัตว์ได้ 2.4 วิริยปารมิตา พระโพธิสัตว์ไม่ย่อท้อต่อพุทธภูมิ ไม่รู้สึกเหนื่อย หน่ายระอาในการช่วยสัตว์ 2.5 ธยานปารมิตา พระโพธิสัตว์จะต้องสำเร็จในฌานสมาบัติทุกชั้น มีจิตไม่คลอนแคลน เพราะเหตุอารมณ์ 2.6 ปรัชญาปารมิตา พระโพธิสัตว์จะต้องทำให้แจ้งในปุคคลศูนยตาและธรรมศูนยตา 3.หลักมหาอุปาย คือพระโพธิสัตว์จะต้องประกอบด้วยกุศโลบายนานัปการ ในการช่วยเหลือปวงสัตว์ต้องประกอบด้วยไหวพริบปฏิภาณในการเข้าถึงอธิมุติของปวงสัตว์เปรียบเหมือนนายแพทย์ผู้ฉลาดรู้จักวางยาให้ถูกโรคอาศัยข้อนี้แหละทางฝ่ายมหายานจึงได้เพิ่มเติมคติธรรมและพิธีการซึ่งไม่เคยมีในฝ่ายเถรวาทเข้ามามากมายโดยถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอุบาย ชักจูงให้ผู้เขลาโน้มเอียงเข้ามาสู่สัจธรรมในเบื้องปลายเท่านั้น คุรุนาคารชุนได้สถาปนาความมั่นคงฝ่ายมหายานด้วยแนวคิดดังที่ได้กล่าวมาแล้วด้วย "ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร" พระสูตรสั้นๆแต่มีสาระสำคัญอันเป็นบ่อเกิดแห่งความมั่นคงของมหายาน ในคัมภีร์มาธยมิกศาสตร์ ท่านคุรุนาคารชุนได้เริ่มคาถาในต้นปกรณ์ว่า “ไม่มีความเกิดขึ้น ไม่มีความดับ ไม่มีความขาดสูญ ไม่มีความเที่ยงแท้ ไม่มีอรรถแต่อย่าง เดียว ไม่มีอรรถนานาประการ ไม่มีการมา ไม่มีการไป ท่านใดกล่าวไว้ เป็นปฏิจจสมุปบาท ธรรม ท่านผู้นั้นคือพระพุทธเจ้า ข้าขอนอบน้อม แด่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ดับเสียได้ซึ่ง ปัญจธรรมเป็นเลิศยิ่งกว่าวาทะทั้งหลาย” "รู้แจ้งก่อนจึงสอน คือนิยามพื้นฐานของเถรวาทหรือสาวกยาน ช่วยผู้อื่นให้รู้แจ้งก่อนแล้วจึงรู้แจ้ง คือนิยามพื้นฐานของมหายาน"
โปรดสังเกตุว่า 1. ทางวัชรยานไม่ได้ยึดติดว่าพระพุทธเจ้าต้องเป็นแบบใด ขอเพียงโปรดสัตว์พ้นทุกข์แท้จริง (นิพพาน) ก็ยอมรับได้ 2. ย่อบารมี 10 ข้อ เหลือ 6 ข้อ แล้วกระทำให้เกิดขึ้นเลย ในชาตินั้นๆ ไม่รอชาติต่อๆ ไป (ไม่ขึ้นหิ้งท่องจำแล้วไม่ทำ) 3. ถือว่า "ธรรมกาย (กายแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลส) , สัมโภคกาย (กายคนธรมดา ทำตัวเหมือนคนทั่วไป ไม่ยกตน) และ นิรมาณกาย (กายที่ไปสอนธรรม เช่น ห่มเหลืองไป ฯลฯ) หากมีครบเหล่านี้ ถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าในแนวคิดแบบวัชรยาน
<TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2> ความคิดเห็นที่ 20 : (Justice) มีนิทานพุทธที่เล่ากันทั่วไปในธิเบตเรื่อง ต้นไม้พิษ ต้นไม้พิษนี้เป็นต้นไม้ที่มีพิษร้ายแรงมาก แม้ใครหลงไปกินผลของมันเข้าจะทุรนทุราย สาหัสสากรรจ์ เนื่องจากทุกคนรู้ถึงพิษของต้นไม้นี้ จึงคิดที่จะทำลายต้นไม้นี้เสีย คนกลุ่มหนึ่งก็ให้ความคิดว่าต้องถอนรากถอนโคนไม่ให้เหลือแม้แต่รากฝอยของต้นไม้ไว้ แต่ก็มีคนอีกกลุ่มเสนอว่าเพียงตัดโคนหรือตัดส่วนสำคัญของมัน ต้นไม้ก็จะตายไปในที่สุดและยังมีอีกกลุ่มซึ่งมีภูมิความรู้ทางการแพทย์และเคมีมาบ้างเสนอว่า ไม่จำเป็นต้องไปทำลายต้นไม้ทิ้ง เพียงแต่นำพิษของมันไปปรุงเป็นยาวิเศษเพื่อเพิ่มพลังในการรักษาโรคได้ เป็นเพราะพวกคุณ 2 กลุ่มแรกไม่รู้ในวิธีปรุงยาถ้าไม่มีพิษนี้ก็ไม่มีวัตถุดิบในการปรุงยา ในขณะที่กลุ่มคนทั้ง 3 กำลังให้ความเห็นกันอยู่นั้นก็มีนกยูงตัวหนึ่งเข้ามาและกินผลไม้พิษนั้นเป็นอาหารโดยที่พิษไม่เป็นอันตรายต่อนกยูงแต่ประการใด อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสีสันความสวยสดงดงามของขนหางความแข็งแรงของร่างกายด้วย จากนิทานต้นไม้พิษนี้พอจะเปรียบเทียบได้กับ การปฏิบัติในพุทธศาสนาที่เน้นวิธีการที่ไม่เหมือนกัน กลุ่มแรกเน้นในเรื่องการขุดรากถอนโคนโดยสิ้นเชิงในกิเสลทั้งปวง เพื่อป้องกันมิให้มันเกิดขึ้นได้ใหม่โดยการปฏิบัติศีลสมาธิเพื่อให้เกิด ปัญญาอันเป็นแนวทางของเถรวาท การปฏิบัติตามแนวนี้ต้องบวชเป็นภิกษุจึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุด การปฏิบัติศีล สมาธิโดยการทำให้จิตว่าง เข้าไปสู่ ปัญญา โดยการใช้สมถะ วิปัสสนา จะทำ ให้ผู้ปฏิบัติค่อยๆหลุดจากพิษของความโลภ โกรธ หลง วิธีการที่ 2 เป็นวิถีทางแห่งมหายานซึ่งถือว่าการตัดจุดสำคัญของต้นไม้พิษก็จะทำให้ต้นไม้พิษนั้นตายได้จุดสำคัญสุดยอดก็คือ อาตมัน การยึดติดกับอาตมันคือ ตัดตรงจุดนี้ก็ทำให้หลุดพ้นได้ การยึดในความเป็นแก่นสารหรือความจีรังต่างๆ เมื่อถูกตัดด้วยดาบแห่งศูนยตา ฟันแก่นของการยึดติดเข้าสู่ปัญญาแห่งความไม่มีแก่นสารของจักรวาล กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มของแพทย์และนักเคมีที่ต้องการแปรเปลี่ยนสภาพ คือวิถีแห่งวัชรยาน แทนที่จะทำลายต้นไม้พิษทิ้ง แต่กลับนำพิษจากต้นไม้พิษใช้วิธีการพิเศษให้แปรสภาพพิษกลายเป็นยาวิเศษ ยาวิเศษก็คือ ฌาน ให้เกิดปัญญาโดยวิธีการสร้างมโนจิตตัวเองให้ดำรงจิตอยู่ใน ฌาน ความรู้ตัวทุกขณะจิตไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ชนิดใด ปัญญาแห่งการบรรลุก็บังเกิดขึ้น ตัวนกยูงก็คือ วิถีทางแห่งการหลุดพ้นดั้งเดิม ซึ่งในธิบตเรียกว่า อธิโยคะ หรือ ซกเชน หรือในสันสฤตเรียก มหาสันติ ในวิธีนี้คือการเข้าไปสู่การรู้แจ้งโดยการเจาะทะลวงเข้าไปเลย การเข้าสู่การรู้แจ้งโดยไม่ผ่านขั้นตอนต่างๆ เช่นการตัดขาด การขจัด ชำระล้าง หรือการแปรสภาพใดๆ เป็นการเข้าสู่การรู้แจ้งแบบตรงดิ่งเข้าไปเลย ไม่ต้องผ่านพิธีการใดๆ ซึ่งหนทางนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นวิธีที่สูงที่สุดในวัชรยานในทิเบตได้มีการเก็บรักษาคำสอนต่างๆ ของพุทธศาสนา ไว้อย่างสมบูรณ์ ์แบบทุกหนทาง เพื่อเป็นหนทางแก่พุทธศาสนิกชนทุกแบบทุกประเภท ได้เลือกรูปแบบและวิธีการที่เหมาะกับตนในการบรรลุสู่ความรู้แจ้ง ซึ่งบางรูปแบบก็ไม่เป็นที่ ยอมรับของพุทธศาสนิกชนในประเทศอื่นแต่ในประวัติศาสตร์ทางพุทธศาสนาวัชรยานมีพระอาจารย์ในสายปฏิบัตินี้มากมายที่บรรลุความรู้แจ้งในบริเวณประเทศแถบหิมาลัยและประเทศในสายปฏิบัติวัชรยาน </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : Justice [ 21 ม.ค. 2545 / 16:14:14 น. ] [SIZE=-1] [ IP Address : 203.170.129.216 ][/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE> ที่มา http://202.44.204.76/cgi-bin/kratoo.pl/004063.htm
ซกเชนเป็นแนวทางสูงสุดของพระลามะในทิเบต และพระลามะก็ปฏิบัติช่วยสรรพสัตว์ในชาตินี้เลย ดังนี้ จึงไม่ต้องรอไปชาติหน้า สามารถทำได้เลยทันที
ในทางจิตวิทยาเรียกว่าการปรับพฤติกรรมโดยใช้พฤติกรรมภายนอก ปรับทัศนคติภายใน คือ การปฏิบัติทันที จนเป็นนิสัย เมื่อเกิดปัญหา ก็ตั้งจิตมีสมาธิ มีสติ ใช้ปัญญาแก้ไข จึงเกิด "ภาวนามยปัญญา" เป็น "วิปัสสนาลืมตา" แบบเซน อนึ่ง คำว่า "พุทธะ" นั้น หากเราหลงว่าเมื่อเราเป็นพุทธะแล้วต้องมี คนมาไหว้ มาเคารพมานับถือ ได้อะไรมากมายนั้นก็ไม่ใช่พุทธะ ดังนี้ จึงไม่ได้ยึดติดความหมายของพระพุทธเจ้าว่าต้องมีลักษณะ 32 อะไร หรือวิเศษวิโสอะไร แต่คือ การทำสิ่งดีงามในชาตินั้นเลยทันที ไม่รอ ไม่มัวฝึกตนโดยไม่เกิดประโยชน์แก่ใคร แต่ให้ช่วยคนเลยทันที เพื่อ ทำให้เกิดขึ้นในปัจจุบันชาติ คือ การทำตนให้เป็นพุทธะ แล้วจิตก็จะเป็นพุทธะ จึงไม่ต้องรอชาติใดๆ
เมื่อจิตระลึกความเป็นพุทธะในจิตเรานี้เองเนืองๆ นั่นคือ "จิตตานุปัสสนา" ที่เรียกว่า "พุทธานุสติ" นั่นเอง จึงเป็นกรรมฐานทุกอิริยาบถที่บำเพ็ญเพียร ช่วยคน ทั้งยังก่อให้เกิด "ภาวนามยปัญญา" บรรลุอรหันต์ได้เช่นกัน (มหาสติปัฏฐาน เป็น "มหา" เมื่อ กาย, เวทนา, จิต, ธรรม รวมเป็นหนึ่ง แต่หากแยกสติตั้งไว้ทีละฐาน จะเรียกเป็น "อนุ" ไม่ใช่ "มหา" ดังข้างต้น)
ในเมื่อตัวเราซึ่งแท้จริงหามีไม่ ท่านพุทธองค์สอนให้เลิกยึดมั่นถือมั่น ดังนั้นตัวตนที่ตั้งอยู่เป็นตัวเราคือภาพลวงตา คือมายา คือความไม่เที่ยง พุทธะที่แท้อยู่ในจิตเดิม จิตเดิมที่ปราศจากกิเลส ปราศจากสิ่งต่างๆมากระทบ ทำจิตให้กลับเป็นแบบเดิม แล้วพุทธะจะกลับมา(ค้นหาจิตเดิมไม่ต้องสนในตัวตน)ตัดตัวเราว่าไม่ใช่ของเราก่อน แล้วสิ่งรอบตัวก็ตัดได้เอง(พูดเหมือนง่ายแต่ทำยากมาก)