บทความให้กำลังใจ(แพ้พ่ายเพราะใจไม่นิ่ง)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    ทุนที่ไม่มีวันหมด
    หลังจากที่หลวงพ่อชา สุภทฺโท ได้ริเริ่มบุกเบิกวัดหนองป่าพงแต่พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นต้นมา วัดนี้ก็ค่อย ๆ เติบโตจนกลายเป็นสำนักปฏิบัติธรรมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี เป็นเหตุให้มีผู้คนหลั่งไหลมาจาริกบุญศึกษาธรรมที่วัดนี้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จนลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งมีความคิดว่าวัดหนองป่าพงควรมีมูลนิธิเหมือนอย่างวัดอื่นบ้างเพื่อวัดจะได้มีทุนดำเนินงานอย่างมั่นคง

    เมื่อลูกศิษย์นำความดังกล่าวไปปรึกษาหลวงพ่อ ประโยคแรกที่ท่านตอบก็คือ

    “อย่างนั้นก็ดีอยู่ แต่ผมคิดว่ามันยังไม่ถูกต้อง” แล้วท่านก็ให้ความเห็นต่อว่า “ถ้าพวกท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วคงจะไม่อด พระพุทธเจ้าท่านก็ยังไม่เคยมีมูลนิธิเลย ท่านก็โกนหัวปลงผมทำอะไรเหมือนพวกเรา ท่านก็ยังอยู่ได้ ท่านได้ปูทางไว้ให้แล้ว เราก็เดินตามทางก็น่าจะพอไปได้นะ”

    แล้วหลวงพ่อก็สรุปว่า

    “บาตรกับจีวรนี่แหละ มูลนิธิที่พระพุทธเจ้าตั้งไว้ให้ เรากินไม่หมดหรอก”

    หลวงพ่อชาเป็นอยู่อย่างมักน้อยสันโดษมาก กุฏิของท่านแทบจะโล่ง เพราะมีแต่เตียงนอนและของใช้ที่จำเป็น เช่น กระโถน ไม่มีของใช้ฟุ่มเฟือยเลย ส่วนวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่ญาติโยมนำมาถวายอยู่เสมอนั้นท่านก็ส่งต่อไปให้ลูกศิษย์ตามวัดสาขาต่าง ๆ หมด

    ท่านไม่เคยมีบัญชีเงินฝากส่วนตัว ปัจจัยหรือเงินทำบุญที่โยมถวายนั้น ท่านให้เป็นของกลางหมด “เราพอกิน พออยู่แล้ว จะมาอะไรทำไมนะ กินข้าวมือเดียว” ท่านเคยพูดให้ฟัง

    บ่อยครั้งที่โยมมาตัดพ้อต่อว่า เพราะได้ปวารณาถวายปัจจัยไว้ให้ท่านใช้ในกิจส่วนตัว แต่หลวงพ่อไม่เคยเรียกใช้สักที ท่านเคยปรารภกับลูกศิษย์ว่า “ยิ่งเขามาปวารณาแล้ว ผมยิ่งกลัว”

    คราวหนึ่งมีผู้เอารถไปถวายหลวงพ่อ รบเร้าให้หลวงพ่อรับให้ได้ โดยขับมาจอดหลังกุฏิท่าน แล้วเอากุญแจใส่ย่ามท่านไว้ แต่ปรากฏว่าหลวงพ่อไม่เคยไปดูรถคันนั้นเลย พอออกจากกุฏิท่านจะเดินไปทางอื่น จะไปในเมือง ท่านก็ขึ้นรถคันอื่น หลังจากนั้น ๗ วัน ท่านก็เรียกโยมคนหนึ่งมาหาแล้วบอกว่า

    “ไปบอกเขาเอารถกลับคืนไปนะ เอามาถวายข้อ ย ข้อยก็รับไปแล้ว เดี๋ยวนี้ข้อยจะส่งคืน มันไม่ใช่ของพระ"

    อีกครั้งหนึ่ง หลวงพ่อจะไปวัดถ้ำแสงเพชร ลูกศิษย์ที่มีรถส่วนตัวคันงามยี่ห้อดัง ต่างแย่งกันนิมนต์ให้ท่านขึ้นรถส่วนตัวคันงามยี่ห้อดัง ต่างแย่งกันนิมนต์ให้ท่านขึ้นรถของตนซึ่งจอดเรียงรายอยู่ที่ลานวัดให้ได้ หลวงพ่อกวาดตาดูสักครู่ ก็ชี้มือไปที่รถเก่าบุโรทั่งคันหนึ่งพร้อมกับพูดว่า “อ้า ไปคันนั้น” เจ้าของได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจสุดขีด รีบเปิดประตูนิมนต์ให้หลวงพ่อนั่ง

    ว่ากันว่าการเดินทางวันนั้นใช้เวลานานกว่าปกติ เพราะขบวนรถคันงามความเร็วสูงต้องค่อย ๆ ขับตามหลังรถโกโรโกโสไปโดยดุษณีภาพ
    :-https://visalo.org/article/budLumTarn.htm
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    รู้ธรรมจากความประหยัด
    มีศิษย์เพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าท่านอาจารย์พุทธทาสมี “สมบัติชิ้นเอก” อยู่ชิ้นหนึ่ง สมบัติชิ้นนี้หาในกุฏิก็ไม่พบเพราะอยู่ข้างกายท่านตลอดเวลา สมบัติชิ้นที่ว่าก็คือ แหนบถอนหนวด

    แหนบดังกล่าวไม่ได้ทำด้วยวัสดุพิเศษอะไรเลย ออกจะด้อยคุณภาพด้วยซ้ำ เพราะทำจากขาปิ่นโตที่ลูกศิษย์เอามาถวาย ท่านเพียงแต่เอามาพับก็เป็นแหนบได้แล้ว หากจะมีความพิเศษก็ตรงที่เป็นของที่ท่านใช้มานานร่วม ๗๐ ปี คือตั้งแต่บวชมาได้ ๒ พรรษา แม้จบบั้นปลายชีวิตท่านก็ยังใช้แหนบดังกล่าวอยู่

    ท่านอาจารย์พุทธทาสเป็นพระที่ขึ้นชื่อในเรื่องความประหยัดและใช้สิ่งต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง ท่านเคยเล่าว่าหากไม่ประหยัด สวนโมกข์คงจะ “พินาศ” ไปนานแล้ว เนื่องจากตั้งอยู่ในป่า ไกลจากแหล่งชุมชนมาก สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ จึงหาได้ยากไม่เหมือนปัจจุบัน แม้กระทั่งกระดาษชำระก็เป็นของมีค่าสำหรับสวนโมกข์ ท่านเคยเล่าว่าหากมีคนเอาวิมานมาให้ท่านหลังหนึ่งกับกระดาษชำระม้วนหนึ่ง ท่านขอเอากระดาษชำระม้วนเดียว เพราะกระดาษมีประโยชน์ ตรงกันข้ามกับวิมานซึ่งใช้ทำอะไรไม่ได้เลย

    เวลาฉันอยู่ หากมีแกงหก ท่านจะดึงกระดาษชำระ (แบบม้วน) มาใช้เพียงแผ่นเดียว เมื่อเช็ดเสร็จท่านจะไม่ทิ้ง แต่วางไว้บนโต๊ะ หากมีใครจะเก็บไปทิ้งท่านจะห้ามไว้ โดยให้เหตุผลว่าปล่อยไว้สักครู่กระดาษก็จะแห้ง สามารถเอามาเช็ดใหม่ได้อีก

    กระดาษคาร์บอนที่ใช้พิมพ์สำเนาต้นฉบับ สมัยนี้ใช้ ๒ – ๓ ครั้งก็ทิ้งแล้ว แต่ท่านจะใช้พิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้คาร์บอนจะจางแล้ว หากยังพิมพ์ได้อยู่ท่านก็ยังใช้ต่อจนกว่าคาร์บอนจะจางกระทั่งอ่านไม่ออก ที่ยิ่งแย่กว่านั้นก็คือต้นฉบับพิมพ์ดีดหลายพันหน้าที่ออกจากสวนโมกข์สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น เรียกได้ว่าไม่เคยได้สัมผัสกับยางลบหมึกเลย เวลาลูกศิษย์พิมพ์ผิด ท่านจะแนะให้ใช้เข็มซ่อนปลายค่อย ๆ เขี่ยเอา การแก้ไขคำผิดด้วยวิธีนี้ ทำให้ลูกศิษย์ต้องพิมพ์ดีดอย่างระมัดระวัง พยายามไม่ให้ผิด นับเป็นการฝึกสติอย่างดี

    ท่านอาจารย์ไม่ได้ประหยัดเฉพาะกับอุปกรณ์ที่ต้องซื้อหามาเท่านั้น กระทั่งของที่หาได้ง่าย ๆ ในสวนโมกข์ท่านก็ใช้อย่างระมัดระวัง เวลาฉันน้ำ ท่านจะเตือนให้ลูกศิษย์ใส่น้ำมาเพียงครึ่งแก้ว อย่าใส่เต็มแก้ว ท่านว่าท่านฉันครึ่งแก้วแล้วต้องทิ้งอีกครึ่งแก้ว ไม่เป็นการประหยัด เรียกว่าไม่ใช้น้ำด้วยสติปัญญา

    ทุกวันนี้เรามักได้ยินคำประกาศเชิญชวนให้ประหยัดน้ำไฟและอะไรต่ออะไรมากมาย แต่การรณรงค์ให้ประหยัดในปัจจุบันมักเกิดจากความจำเป็นบีบบังคับ เช่น เพราะว่าทรัพยากรกำลังขาดแคลน สิ่งแวดล้อมกำลังวิกฤต แต่สำหรับท่านอาจารย์พุทธทาส ความประหยัดไม่ได้เกิดจากความจำเป็นเท่านั้น หากยังเป็นคุณธรรมในตัวมันเอง นั่นหมายความว่าแม้สิ่งของจะมีมาก ก็ไม่ควรใช้อย่างฟุ่มเฟือย การใช้อย่างประหยัดนอกจากจะเป็นการฝึกให้มีสติ ใช้สิ่งของอย่างระมัดระวังและละเอียดลออแล้ว ยังทำให้พึ่งพิงวัตถุน้อยลง และเอื้อให้ชีวิตเป็นอิสระและโปร่งเบามากขึ้น
    ท่านเคยเล่าว่าธรรมะเป็นของละเอียด ดังนั้นคนที่จะรู้ธรรมะได้ จึงต้องเป็นคนละเอียดลออ ความละเอียดลออนี้มาจากไหน ส่วนหนึ่งก็มาจากการใช้สิ่งต่าง ๆ อย่างระมัดระวังนั่นเอง
    :- https://visalo.org/article/budLumTarn.htm

     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    เผชิญเสือโคร่ง
    พระอาจารย์ชอบ ฐานสโม เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต วิปัสสนาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคปัจจุบัน พระอาจารย์ชอบเป็นผู้ฝักใฝ่ในการเที่ยวธุดงค์กรรมฐาน และนิยมบำเพ็ญปฏิบัติอยู่ในป่าเขามาโดยตลอด เมื่อ ๔๐ – ๕๐ ปีก่อน ป่าดงพงไพรปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ สิงสาราสัตว์จึงมีอยู่อย่างชุกชุม พระอาจารย์ชอบจึงมักพานพบสัตว์ป่านานาชนิดอยู่ไม่ขาด

    มีคราวหนึ่งท่านไปเที่ยวธุดงค์ในประเทศพม่า ขณะนั่งภาวนาอยู่ในถ้ำราว ๕ โมงเย็นก็เห็นเสือโคร่งใหญ่ลายพาดกลอนตัวหนึ่งเดินมาหน้าถ้ำ แม้ท่าทางดูน่ากลัว แตาเมื่อมันมองเข้ามาในถ้ำสบตาท่าน แทนที่จะแสดงอาการกลัวหรือคำรามตามวิสัยสัตว์ป่า กลับมีอาการเฉย ๆ เมื่อขึ้นมาถึงถ้ำแล้วก็กระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนก้อนหินด้านทางขึ้นถ้ำสูงประมาณ ๑ เมตร ห่างจากท่านประมาณ ๖ เมตร แล้วก็นั่งเลียแข้งเลียขาโดยหาได้สนใจท่านแต่อย่างใดไม่ ท่านว่ามันนั่งราวกับสุนัขบ้าน พอเลียแข้งเลียขาเหนื่อยก็นอนหมอบแบบสุนัขอีก แล้วก็เลียขาแล้วลำตัวต่อโดยไม่สนใจอะไร

    แม้ท่าทีของมันจะไม่ดุร้าย แต่ท่านก็ไม่วางใจ จึงงดออกไปเดินจงกรมที่หน้าถ้ำเหมือนอย่างเคย ในใจรู้สึกหวาดเสียวเล็กน้อย แต่ก็นั่งภาวนาต่อไปตามปกติ เสือโคร่งนาน ๆ ก็หันมามองดูท่านสักครั้งหนึ่ง เป็นการมองอย่างธรรมดา ๆ คล้ายกับมิตร แม้มันเลียแข้งเลียขาเสร็จนานแล้ว แต่ก็ไม่ไปไหนต่อ จนมืดแล้วท่านจึงเข้าไปในกลด ตกดึกท่านจะเข้านอนมันก็ยังอยู่ที่เดิม

    ท่านตื่นนอนราวตี ๓ มองไปที่หน้าถ้ำก็ยังเห็นมันนอนอยู่ท่าเก่าจวบจนรุ่งเช้า ก็เกิดปัญหาขึ้นมาว่าท่านจะไปบิณฑบาตได้อย่างไรในเมื่อมันนอนอยู่หน้าถ้ำ แต่ท่านตัดสินใจว่าจะต้องออกไป แม้ว่าทางที่จะเดินห่างตัวมันราว ๑ เมตรเศษ ๆ เท่านั้น

    เมื่อท่านครองผ้าสะพายบาตรเสร็จก็ดำรงสติมั่น เจริญเมตตาแล้วพูดกับมันว่า “นี่ถึงเวลาออกบิณฑบาตแล้ว เราก็มีท้องมีปากมีความหิวกระหายเหมือนสัตว์โลกทั่วไปเราจะขอทางไปบิณฑบาตมาฉันหน่อยนะ จงให้ทางเราบ้าง ถ้าเจ้าอยากอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้ หรือจะไปเพื่อหาอยู่หากินที่ไหนก็ตามใจสะดวก เราไม่ว่า”

    ท่านว่า มันนอนฟังท่านเหมือนสุนักนอนฟังเจ้าของพูด พอพูดจบท่านก็เดินผ่านหน้ามัน ส่วนมันก็นอนสบายปล่อยให้ท่านเดินผ่านออกไป พลางชำเลืองดูด้วยสายตาอ่อน ๆ
    เมื่อท่านบิณฑบาตกลับมา ก็ไม่พบมันแล้ว นับแต่วันนั้นก็ไม่พบมันอีกเลย
    :- https://visalo.org/article/budLumTarn.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2024
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    มีแต่ไม่เอา
    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพธรรมคนสำคัญที่สุดของจังหวัดสุรินทร์ จวบจนมรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ ด้วยอายุ ๙๖ ปี เมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ วัดบูรพารามในอำเภอเมือง เป็นจุดหมายปลายทางของผู้ใฝ่ธรรมทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์
    หลวงปู่ดูลย์ หรือพระราชวุฒาจารย์ เป็นศิษย์รุ่นแรกของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และเป็นสหายธรรมของหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ดังนั้นจึงเป็นที่เคารพนับถือของพระกรรมฐานรุ่นหลัง ๆ เป็นอย่างมาก

    แม้จะมีประสบการณ์โชกโชนในฐานะพระป่าเชี่ยวชาญในกรรมฐานทั้งฝ่ายสมถะและวิปัสสนา แต่ท่านไม่เคยอ้างตนเป็น “ผู้วิเศษ” เวลามีใครมาชวนคุยเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ และสิ่งอาถรรพ์ลี้ลับ ท่านจะตัดบทหรือไม่สนใจเอาเลย แม้จะมีใครมาขอให้ท่านช่วยกำหนดฤกษ์ยาม เช่น หาวันดีที่จะบวช หรือหาฤกษ์จัดงานมงคล ท่านมักบอกว่า “วันไหนก็ได้ วันไหนก็ดี”

    อย่างไรก็ตาม ท่านยอมรับว่าวัตถุมงคลยังมีประโยชน์อยู่บ้างสำหรับคนบางจำพวก ดังท่านเคยกล่าวว่า “สำหรับผู้มีจิตใจเพลิดเพลินอยู่ ยังยินดีในการเกิดตายในวัฏสงสาร ยังไม่สามารถหันมาสู่การปฏิบัติธรรมได้ ก็ให้อาศัยวัตถุภายนอก เช่น วัตถุมงคลเช่นนี้เป็นที่พึ่งไปก่อน” แต่ท่านก็เตือนว่าวัตถุมงคลนั้น “ไม่มีอะไร เป็นเพียงช่วยด้านกำลังใจเท่านั้น”

    คราวหนึ่งมีคนเอาเครื่องรางของขลังออกมาอวดกันเองต่อหน้าท่าน คนหนึ่งมีเขี้ยวหมูตัน อีกคนมีนอแรด ต่างอวดว่าของตนวิเศษ ดีอย่างนั้นอย่างนี้ มีคนหนึ่งถามท่านว่า อย่างไหนวิเศษกว่ากัน

    ท่านตอบว่า “ไม่มีดี ไม่มีวิเศษอะไรหรอก เป็นของสัตว์เดรัจฉานเหมือนกัน”

    นอกจากจะไม่แสดงตัวเป็นผู้วิเศษแล้ว ท่านยังไม่อวดอ้างว่าเป็นพระอริยะ แม้จะมีคนจำนวนมากที่เชื่อเช่นนั้น แต่ถึงจะซักไซ้ไล่เลียงถามถึงคุณวิเศษของท่านเพียงใด ท่านก็ไม่เคยอวดตน

    เคยมีคนถามหลวงปู่สั้น ๆ ว่า ท่านยังมีความโกรธอยู่ไหม

    แทนที่ท่านจะตอบว่า หมดโกรธ หมดโลภ หมดหลงแล้ว ท่านตอบสั้น ๆ ว่า “มี แต่ไม่เอา”
    เสียงเกี๊ยะ
    ธรรมะนั้นไม่จำเป็นต้องสอนด้วยการเทศน์เสมอไป หากมองให้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างก็สอนธรรมแก่เราตลอดเวลา แต่บางครั้งก็ต้องมีผู้รู้มากระตุ้นให้ฉุกคิด

    ครั้งหนึ่งหลวงปู่บุดดา ถาวโร ได้รับนิมนต์ไปฉันเพลที่บ้านโยมในกรุงเทพฯ เมื่อฉันเสร็จแล้ว เจ้าของบ้านเห็นหลวงปู่เดินทางมาเหนื่อย จึงขอให้ท่านเอนกายพักผ่อนก่อนเดินทางกลับวัดที่จังหวัดสิงห์บุรี
    ระหว่างนั้นข้างห้องซึ่งเป็นร้านขายของ มีคนเดินลากเกี๊ยะกระทบพื้นบันไดเสียงดัง ศิษย์คนหนึ่งรู้สึกรำคาญเสียงเกี๊ยะ บ่นขึ้นมาดัง ๆ ว่า “แหม เดินเสียงดังเชียว”

    หลวงปู่ซึ่งนอนหลับตาอยู่จึงพูดเตือนว่า “เขาเดินของเขาอยู่ดี ๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง”

    :- https://visalo.org/article/budLumTarn.htm
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    ข่าวดีและข่าวร้ายสำหรับชาวพุทธ
    พระไพศาล วิสาโล
    เมื่อเดือนที่แล้วมีข่าวเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่ง ซึ่งได้รับความสนใจจากสำนักข่าวชั้นนำทั่วโลก ข่าวนั้นก็คือ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ๒ แห่งในสหรัฐอเมริกาได้บทสรุปตรงกันอย่างมิได้นัดหมายว่า ชาวพุทธมีความสุขและความสงบใจมากกว่าคนกลุ่มอื่น ข้อสรุปดังกล่าวมิได้มาจากการทำแบบสอบถามอย่างที่มักนิยมทำกันในเวลานี้ แต่เกิดจากการตรวจสอบหรือวัดการทำงานของสมอง นักวิทยาศาสตร์พบว่าในหมู่คนถือพุทธนั้น สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกที่ดี ๆ จะถูกกระตุ้นให้ทำงานมากกว่าสมองของคนกลุ่มอื่น ซึ่งก็หมายความว่าความสุขและความรู้สึกนึกคิดในทางบวกจะเกิดขึ้นกับคนถือพุทธมากกว่า นอกจากนั้นเขายังพบอีกว่า ชาวพุทธมีแนวโน้มจะตื่นตระหนก ตกใจ หรือโกรธน้อยกว่าคนกลุ่มอื่น

    ฟังแล้วคนไทยอย่าเพิ่งปลื้ม เพราะชาวพุทธที่เขานำมาตรวจวัดสมองนี้เป็นชาวพุทธในอเมริกา และเป็นผู้ที่ชอบทำสมาธิภาวนา บทสรุปจริง ๆ ของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ๒ แห่งนี้ก็คือ สมาธิภาวนานั้นช่วยให้ใจสงบ ระงับความโกรธ และควบคุมความกลัวได้ อานิสงส์ดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นเฉพาะเวลาทำสมาธิเท่านั้น หากยังเกิดขึ้นต่อเนื่องแม้จะเลิกทำสมาธิแล้ว

    ข้อสรุปย่อหน้าหลังนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ คนไทยหรืออย่างน้อยผู้ที่สนใจใฝ่ธรรมเขารู้มานานแล้ว แต่ดูเหมือนว่านี้จะเป็นครั้งแรก ๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างชัดเจนระหว่างสมาธิภาวนากับการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก แถมยังไปไกลถึงขั้นสรุปว่าชาวพุทธมีความสุขและใจสงบยิ่งกว่าคนกลุ่มอื่น

    ถ้าถือว่านั่นเป็นข่าวดี ข่าวร้ายก็คือเมื่อ ๒-๓ เดือนก่อน มีข่าวเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งแพร่ไปทั่วโลก ข่าวนี้ให้ความรู้สึกตรงข้ามกับข่าวแรก และโยงมาถึงเมืองไทยโดยตรง นั่นคือข่าวที่ว่าพระสงฆ์ไทยเป็นโรคจิตกันมากขึ้น ที่ถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายก็มีไม่น้อย จิตแพทย์ประจำโรงพยาบาลสงฆ์ผู้หนึ่งเปิดเผยว่า มีพระสงฆ์ไทยจำนวนมากป่วยเป็นโรคจิต โรคซึมเศร้า โรคเครียดและวิตกกังวล

    คงไม่มีข่าวใดที่จะตัดกันมากเท่านี้อีกแล้ว ในดินแดนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศบริโภคนิยมสุด ๆ ชาวพุทธที่นั่น (ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยเป็นฆราวาส) เป็นผู้ที่มีความสุขมากกว่าใคร ๆ ขณะที่ในประเทศซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นเมืองพุทธ พระสงฆ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความสงบ กลับมีความเครียดและปัญหาจิตใจกันมากขึ้น แม้จะไม่มีการทำสถิติพระสงฆ์ไทยที่มีปัญหาทางจิต แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าพระสงฆ์ไทยเป็นกลุ่มคนที่มีอัตราการสูบบุหรี่สูงที่สุดกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย ก็เป็นตัวชี้วัดระดับความเครียดของพระสงฆ์ไทยได้ไม่น้อย

    อ่านข่าวทั้งสองแล้ว คงอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับวงการพระสงฆ์ไทย? วิถีบรรพชิตน่าจะเป็นวิถีแห่งความสงบ แต่เหตุใดพระสงฆ์ไทยจึงมีปัญหาทางจิตใจกันมากขึ้น? คุณหมอแห่งโรงพยาบาลสงฆ์ตั้งข้อสังเกตว่า การเมืองในวัดและความขัดแย้งระหว่างพระสงฆ์ที่แบ่งเป็นกลุ่ม ๆ หรือตามภูมิลำเนา เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่ง

    ข้อสังเกตนี้สามารถโยงไปถึงปัญหาการปกครองสงฆ์ ไม่เฉพาะในระดับวัดเท่านั้น หากสัมพันธ์ไปถึงระดับประเทศ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการปกครองสงฆ์ทุกวันนี้มิได้ใช้อำนาจเป็นหลัก เมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้นในวงการสงฆ์ ไม่ว่าระดับใดก็ตาม วิธีที่นิยมใช้กันก็คือการออกกฎหรือคำสั่ง( ดังกฎมหาเถรสมาคมฉบับล่าสุด ซึ่งว่ากันว่ามีขึ้นเพื่อห้ามพระเที่ยวห้างหรือใช้โทรศัพท์มือถือ) แต่นั่นยังไม่ร้ายเท่ากับปัญหาที่ว่าการใช้อำนาจนับวันจะอิงคุณธรรมน้อยลงเรื่อย ๆ กลายเป็นการใช้อำนาจแบบอัตตาธิปไตย คือเอาความเห็นหรือผลประโยชน์ของผู้ปกครองเป็นหลัก

    ผลประโยชน์และเส้นสายได้มามีอิทธิพลต่อการปกครองสงฆ์ยิ่งกว่าหลักคุณธรรม ทำให้วงการสงฆ์เต็มไปด้วยการแก่งแย่งผลประโยชน์ (ตั้งแต่เงินค่าสวด ไปจนถึงรายได้จากการขายวัตถุมงคลและเงินก่อสร้างโบสถ์) ยิ่งผลประโยชน์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับสมณศักดิ์และตำแหน่งปกครองด้วยแล้ว วัดและคณะสงฆ์จึงกลายเป็นวงการที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและขับเคี่ยวในทางสมณศักดิ์และตำแหน่งปกครอง ไม่เว้นแม้แต่ระดับเจ้าอาวาส

    การปรับปรุงการปกครองสงฆ์เพื่อให้คุณธรรมมาเป็นหลักยิ่งกว่าผลประโยชน์ เป็นเรื่องสำคัญ การทำให้คณะสงฆ์รวมศูนย์อำนาจน้อยลง กระจายอำนาจมากขึ้น และปกครองในรูปกลุ่มบุคคลแทนที่จะอิงตัวบุคคล เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยลดระบบเส้นสาย และทำให้การปกครองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประการต่อมาคือทำให้คณะสงฆ์มีความโปร่งใสมากขึ้นทั้งในด้านการบริหารและการเงิน ตั้งแต่ระดับวัดขึ้นไป

    แต่ทำแค่นั้นหาพอไม่ สิ่งสำคัญที่ละเลยไม่ได้คือการปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ การละเลยสมาธิภาวนา เน้นแต่ด้านปริยัติ เป็นจุดอ่อนสำคัญของการศึกษาสงฆ์ตลอด ๘๐ ปีที่ผ่านมา การที่สมาธิภาวนาขาดหายไปจากชีวิตของพระสงฆ์ ทำให้ท่านขาดความสุขประณีตที่จะมาหล่อเลี้ยงชีวิตพรหมจรรย์ และดังนั้นจึงเข้าหาความสุขทางวัตถุมากขึ้น หมกมุ่นในลาภสักการะ และถลำสู่วังวนแห่งการแก่งแย่งผลประโยชน์ รวมถึงการวิ่งเต้นในทางสมณศักดิ์ จนไม่เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของญาติโยม

    การศึกษาที่เน้นปริยัติ หากสอนให้ผู้เรียนรู้จักคิดและสามารถนำธรรมะมาใช้กับชีวิตและสังคมได้ ก็ยังไม่นับว่าสูญเปล่า เพราะผู้เรียนสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้จริง แต่การศึกษาของสงฆ์ในปัจจุบันเป็นปริยัติศึกษาแบบท่องจำล้วน ๆ แถมเนื้อหายังล้าสมัย ห่างไกลจากชีวิตและสังคมสมัยใหม่ จึงไม่ทำให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจใฝ่รู้ เรียนอย่างแกน ๆ เพียงเพื่อให้จบ การศึกษาแบบนี้สร้างความทุกข์แก่พระเณรเป็นอันมากจนเป็นโรคเครียดกันมิใช่น้อย

    การศึกษาและการปกครองอย่างที่เป็นอยู่นี้แหละที่ทำให้พระสงฆ์ไทยทั้งหนุ่มและชราเป็นโรคเครียดกันมาก จนนำไปสู่ปัญหามากมาย รวมถึงการหาทางออกที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การหมกมุ่นกับความบันเทิงเริงรมย์จากโทรทัศน์และวีซีดี ทั้งโป๊และไม่โป๊ การเข้าหาอบายมุข การสะสมลาภสักการะ และการแย่งชิงอำนาจกัน มิพักต้องพูดถึงเรื่องอื้อฉาวต่าง ๆ อีกนับไม่ถ้วน
    :- https://visalo.org/article/budKawdee.htm
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    คืนดีรับปีใหม่
    พระไพศาล วิสาโล
    โทรศัพท์มือถือกำลังกลายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของคนยุคนี้ไปแล้ว แต่คงไม่มีใครใช้อวัยวะส่วนนี้อย่างสมบุกสมบันเท่ากับหนุ่มเดนมาร์กผู้หนึ่ง ข่าวว่าชายผู้นี้ส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือวันละ ๒๑๗ ชิ้นโดยเฉลี่ย นั่นหมายความว่าเขาใช้โทรศัพท์มือถือทุก ๔-๕ นาทีตลอดเวลาที่ยังตื่นอยู่ รายงานข่าวไม่ได้กล่าวว่าชายผู้นี้ใช้โทรศัพท์เฉลี่ยกี่ครั้งขณะที่กำลังกินข้าวหรือระหว่างปลดทุกข์อยู่ในห้องน้ำ

    แต่ที่แน่ ๆ ก็คือชายผู้นี้สร้างสถิติดังกล่าวขณะกำลังรักษาตัวที่คลินิกแห่งหนึ่งเพื่อรักษาโรคติดการพนันและเสพติดอินเตอร์เน็ต

    ฟังข่าวนี้แล้วก็”ฟันธง”ได้เลยว่าชายผู้นี้ไม่ปกติแน่นอน เราอาจเดาต่อไปได้ด้วยว่าสาเหตุที่เขาใช้โทรศัพท์อย่างบ้าระห่ำก็เพื่อเป็นการทดเทิดที่ไม่ได้เล่นการพนันหรือใช้อินเตอร์เน็ตอย่างแต่ก่อน

    อย่างไรก็ตามถ้ามองให้ดีก็จะพบว่าพฤติกรรมของชายผู้นี้สะท้อนอะไรบางอย่างของคนสมัยนี้ด้วยไม่ใช่น้อย ใช่หรือไม่ว่าคนจำนวนไม่น้อยเวลานี้กำลังมีอาการเสพติดโทรศัพท์ (ไม่ว่าแบบมือถือหรือปกติ) ถ้าวันไหนไม่มีโทรศัพท์อยู่ใกล้ตัว จะรู้สึกกระสับกระส่าย หรือถึงกับ”ลงแดง”หากไม่ได้พูดโทรศัพท์กับใครเลยตลอดวัน ไม่ต้องดูอื่นไกล ผู้ที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตอาการลูกชายลูกสาวของตนดู หรือบางทีเราอาจมีอาการดังกล่าวอยู่บ้างแล้วก็ได้

    แต่ถึงแม้จะไม่เสพติดโทรศัพท์ ก็อย่าเพ่อตายใจ นั่นอาจเป็นเพราะเราติดอย่างอื่นแทนอยู่แล้วก็ได้ (เช่น โทรทัศน์ วีดีโอเกม ) หนุ่มเดนมาร์กที่ว่าหากยังมีโอกาสเล่นการพนันหรือท่องอินเตอร์เน็ตตามกิจวัตรเดิม ก็คงไม่หันไปใช้โทรศัพท์มือถืออย่างน่ากลัวถึงขนาดนั้น

    มีเหตุผลมากมายที่ทำให้ผู้คนสมัยนี้เสพติดอะไรต่ออะไรไปคนละแบบ ถ้าจะจาระไน คงต้องอาศัยผู้รู้หลายสาขา แต่สาเหตุหนึ่งที่สำคัญก็คือ ผู้คนสมัยนี้ทนอยู่กับตัวเองไม่ค่อยได้ ถ้าให้อยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ คนเดียว ไม่นานจะรู้สึกระสับกระส่ายขึ้นมา ต้องเหลียวซ้ายแลขวาคว้าอะไรมาใส่ปาก หาไม่ก็เปิดโทรทัศน์ ฟังเพลง พูดโทรศัพท์ หรือง่วนกับอะไรก็ได้ ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่กับตัวเอง

    ถ้าถามว่าส่วนไหนของเราที่เราทนได้ยากที่สุด คำตอบคงไม่ใช่รูปร่างหน้าตา ยิ่งถ้าเป็นสาวสวยหนุ่มหล่อด้วยแล้ว กลับอยากจะพิศดูสารรูปของตนนาน ๆ ด้วยซ้ำ (แต่เดี๋ยวนี้ก็มีจำนวนไม่น้อยแล้วที่เป็นทุกข์เพราะรู้สึกว่ายังมีเสน่ห์ไม่พอ ถึงกับอดอาหารจนผอมแห้ง หาไม่ก็พาตนไปเป็นเหยื่อของคลินิกศัลยกรรม) ว่าไปแล้ว สิ่งที่เราทนได้ยากจริง ๆ ก็คือความคิดของเรานั่นเอง เราทนอยู่เฉย ๆ คนเดียวไม่ได้นานก็เพราะเรากลัวความฟุ้งซ่านของตัวเอง เมื่อใดที่อยู่นิ่ง ๆ คนเดียว ความคิดของเรานี่แหละที่จะคว้าอะไรต่ออะไรมาประดังประเดใส่หัวเราจนวุ่นวายไปหมด หาไม่ก็พาเราไปจมปลักอยู่กับเรื่องที่ชวนให้วิตกกังวล ทุกข์โศก คับแค้นใจ ทั้ง ๆ ที่ผ่านไปแล้ว หรือบ่อยครั้งก็ยังไม่ทันเกิดขึ้น แต่ปรุงแต่งไปล่วงหน้าเสียก่อน

    ความคิดของเราเองนี้แหละที่คอยหาเรื่องมารังควานตัวเราเอง สรรหาความทุกข์มาทิ่มแทงตัวเอง เอาความโกรธ เกลียด มาเผาลนจิตใจเราเองไม่หยุดหย่อน จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ น่าแปลกก็คือ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นความคิด ”ของเรา” แต่เรากลับคุมมันแทบไม่ได้ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า อีก ๑ นาทีต่อจากนี้ มันจะคิดอะไร นอกจากมันจะไม่อยู่ในโอวาทของเราแล้ว บ่อยครั้งมันกลับทะเลาะเบาะแว้งกับเรา สร้างความสับสนขัดแย้งภายในใจเรา เราทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ก็เพราะเรากลัวว่ามันจะอาละวาดใส่เรา เพราะเหตุนี้เราจึงต้องหาอะไรมาเสพมาบริโภค ทำอะไรก็ได้เพื่อให้ใจเรา”วุ่น” จะได้ไม่มีช่องให้มันมารบกวนเราได้ หาไม่ก็ต้องหาอะไรมาปรนเปรอมัน สุดแท้แต่มันจะชอบอะไร มันจะได้มาวุ่นวายกับเรา

    ทั้งหมดที่พูดมาดูราวกับว่าความคิดของเราช่างแย่เหลือเกิน ที่จริงความคิดของเราไม่ได้มีนิสัยเป็นอันธพาลเลย เขาน่าจะเป็นมิตรที่ประเสริฐของเราด้วยซ้ำ แต่อะไรทำให้เขาทำตัวเกเรอย่างนั้น ทารกทุกคนน่ารักทั้งนั้น แต่เหตุใดบางคนพอโตขึ้นกลับมีนิสัยก้าวร้าว หยาบกระด้าง เอาแต่ใจตัว ใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะพ่อแม่เลี้ยงดูไม่ถูกต้อง เอาแต่ทำมาหากินจนไม่มีเวลาใส่ใจลูก ฉันใดก็ฉันนั้น ความคิดหรือจิตของเราทำตัวเกเรจนเราไม่อยากอยู่ด้วย ก็เพราะเราละเลยทอดทิ้งเขานั่นเอง เราทำอะไรต่ออะไรมากมาย แต่แทบไม่มีเวลาให้กับจิตใจของเราเลย แม้เราจะเลี้ยงดูบ่มเพาะความคิดให้เติบใหญ่ มีกำลังและความรู้มากมาย แต่กลับไม่อบรมให้ถูกต้อง ผลจึงไม่ต่างจากพ่อแม่ที่ได้แต่สรรหาของดีของแพงมาให้ลูกกิน แต่ไม่ใส่ใจที่จะสั่งสอนลูก ลูกจึงโตแต่กาย หากจิตใจกลับอ่อนแอปวกเปียก
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)
    ความคิดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเรา ทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อยได้ทำให้ความคิดจิตใจกลายเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง ดังนั้นจึงเท่ากับทำให้ตัวเองเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง ผลก็คือเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายจนหาความสงบไม่ได้ อยู่ว่าง ๆ คนเดียวเมื่อไร สงครามเป็นต้องเกิดขึ้นภายในใจ ด้วยเหตุนี้ใครต่อใครจึงชอบหนีตัวเอง คอยทำตัวไม่ให้ว่าง ถ้าไม่ทำงานซก ๆ ก็ดูโทรทัศน์เป็นชั่วโมง เที่ยวเตร่จนดึกดื่น คุยโทรศัพท์หรือสนทนาอินเตอร์เน็ตจนสายแทบจะไหม้ หนักกว่านั้นก็เข้าหายาเสพติดไปเลย วิธีเหล่านี้ยังให้ผลพลอยได้ประการหนึ่งคือ เป็นโอกาสที่จะหนีคนรอบข้างด้วย ทั้งนี้เพราะนับวันเราไม่เพียงแต่หมางเมินกับตัวเองเท่านั้น หากยังแปลกแยกกับคนรอบตัว ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่พี่น้องหรือคู่ครอง สงครามจึงไม่ได้เกิดขึ้นแค่ภายในใจเท่านั้น หากยังมักเกิดขึ้นในความสัมพันธ์กับผู้อื่นรอบตัวด้วย ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้คนต้องหาทางออกด้วยการไปหมกมุ่นกับสิ่งอื่นแทน

    แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร เราก็ไม่มีวันที่จะหนีตัวเองได้ และไม่ว่าจะแสวงหาเท่าไร ก็ไม่มีวันพบใครที่จะเป็นมิตรอันประเสริฐไปกว่าตัวเองได้ จะไม่ดีกว่าหรือหากเราจะหันกลับมาเผชิญหน้าและผูกมิตรกับตัวเองสียที นี้เป็นวิธีเดียวที่จะสงบศึกภายในใจได้

    เรามาสงบศึกและสร้างสันติภายในใจเราด้วยการหันมาให้เวลากับชีวิตด้านในของตนเองดีไหม ความคิดจิตใจของเราถูกอัดแน่นด้วยข้อมูลข่าวสารมามากจนเต็มอิ่มแล้ว แต่กลับหิวโหยความสงบสุขและการผ่อนพัก ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการแสวงหาความสงบสุขมาหล่อเลี้ยงจิตใจของเรา ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ความคิดของเราได้พักผ่อนบ้าง การจัดสรรโอกาสเพื่อให้ความคิดจิตใจได้สงบนิ่งอย่างน้อย๑๐ นาทีต่อวันเป็นเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้ของการทำสัญญาสงบศึกกับตัวเอง และถ้าต้องการสันติภาพที่ยั่งยืน เราต้องเต็มใจที่จะอุทิศเวลาและความเพียรให้มากขึ้นกว่านี้

    สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับสันติภาพที่แท้จริงก็คือเมตตาหรือความรัก นอกจากเวลาและความสงบแล้ว เราควรให้ความรักแก่ตนเองมาก ๆ ด้วย อย่ารังเกียจตนเองถึงแม้หน้าตาจะไม่สะสวย หุ่นไม่ผอมบาง หรือฉลาดสู้คนอื่นไม่ได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือรู้จักแผ่เมตตาให้ตนเองเมื่อประสบกับเรื่องที่ไม่น่าพึงพอใจ แทนที่เราจะทำร้ายตัวเองด้วยการเอาความโกรธเกลียดมาเผาลนจิตใจ หรือเติมฟืนไฟให้มันพลุ่งพล่านรุนแรงขึ้น ไม่ดีกว่าหรือหากเราจะสงสารตัวเอง และนำเมตตาธรรมมาชโลมใจแทน

    แม้จะแผ่เมตตาให้แก่คนที่เบียดเบียนเราไม่ได้ อย่างน้อยก็น่าที่จะแผ่เมตตาให้แก่ตัวเองว่า ขอให้สงบเย็นเป็นสุขเถิด เพียงถูกเขากระทำแค่นี้เราก็ทุกข์พอแล้ว นี่เราจะมาซ้ำเติมตัวเองอีกหรือ ยิ่งเราโกรธเกลียดเขามากเท่าไร เราเองก็จะเป็นฝ่ายทุกข์มากเท่านั้น ใช่ว่าเขาจะทุกข์ร้อนไปด้วยก็หาไม่ ยิ่งเรารักตัวเอง เมตตาตัวเองมากเพียงใด ยิ่งจำต้องดับไฟแห่งความโกรธเกลียดให้เร็วเพียงนั้น ทั้งนี้ด้วยการถอนจิตออกไปจากเรื่องนั้น หรือเอาความคิดไปจดจ่อกับเรื่องอื่นที่สบายใจกว่าแทน และหากเรามีเมตตามากพอ ก็ควรแผ่ไปให้แก่ผู้ที่กระทบใจเราด้วย อย่างน้อยผลดีก็จะเกิดขึ้นแก่เราเองคือทำให้ใจเราสงบเย็นขึ้น ถ้าจะเมตตาตัวเองให้เป็น เราต้องรู้จักเมตตาผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่เป็น”ศัตรู”ของเราด้วย

    สิ่งประเสริฐสุดอย่างหนึ่งที่เราสามารถทำได้ในชีวิตนี้ก็คือ การมอบความเป็นมิตรให้แก่ตนเอง นานมาแล้วที่เราเหินห่างหมางเมินกับตนเอง จนบางครั้งถึงกับเป็นปฏิปักษ์กัน ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือที่เราจะหันมาเป็นมิตรกับตนเอง เพื่อจะได้อยู่ร่วมกับตนเองอย่างสงบสันติเสียที
    ปีใหม่นี้เป็นโอกาสดีที่เราจะเริ่มต้นคืนดีกับตัวเอง ปีแล้วปีเล่าที่เราให้ของขวัญใครต่อใครมากมาย ไยปีนี้ไม่ลองมอบมิตรภาพให้แก่ตัวเองบ้าง แล้วอย่าลืมหันไปคืนดีกับคนรอบข้างด้วยล่ะ

    ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะทำให้เราและคนรอบข้างมีความสุขเท่ากับของขวัญวิเศษอย่างนี้
    :- https://visalo.org/article/sukjai254311.htm
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    ยาสามัญประจำใจ
    พระไพศาล วิสาโล
    ในบรรดาผู้เคราะห์ร้ายจากสงครามเวียดนาม คงไม่มีใครที่ทั่วโลกรู้จักมากเท่ากับ คิม ฟุค ภาพเด็กหญิงวัย ๙ ขวบร่างกายบอบบางและเปลือยเปล่า วิ่งร่ำไห้อยู่กลางถนนพร้อมกับเด็กอีก ๔ คน โดยมีทหารและม่านควันดำทมึนเป็นฉากหลัง ได้ประทับแน่นอยู่ในใจของผู้คนทั่วโลก ภาพนี้ภาพเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะบอกเราว่าสงครามนั้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่เด็ก ๆ และประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างไรบ้าง

    คิม ฟุค คือเด็กหญิงชาวเวียดนามใต้คนนั้นซึ่งช่างภาพอเมริกันได้ถ่ายไว้ขณะที่เธอและเพื่อนบ้านกำลังแตกตื่นหนีภัย แม้เธอจะรอดตายจากระเบิดนาปาล์มที่ทิ้งลงหมู่บ้านของเธอ แต่ไฟก็ได้เผาลวกผิวหนังของเธอถึง ๖๕ เปอร์เซ็นต์ เธอต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึง ๑๔ เดือน และผ่านการผ่าตัดถึง ๑๗ ครั้งกว่าจะหายเป็นปกติ เธอยังโชคดีเมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องอีก ๒ คนซึ่งตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว


    นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๑๕ เมื่อเวียดนามกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ๓ ปีต่อมา ก็ไม่มีข่าวคราวของเธอปรากฏสู่โลกภายนอกอีกเลย แต่แล้ววันหนึ่งในปี ๒๕๓๙ คิม ฟุค ก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าชาวอเมริกันซึ่งเคยผ่านสมรภูมิเวียดนาม เธอได้รับเชิญให้มาพูดเนื่องในโอกาสวันทหารผ่านศึก ณ กรุงวอชิงตันดีซี

    การได้มาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนซึ่งครั้งหนึ่งเคยมาทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ ทำให้ญาติพี่น้องของเธอต้องตาย และเกือบฆ่าเธอให้ตายไปด้วยนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำใจได้ง่ายนัก แต่เธอมาก็เพื่อจะบอกให้พวกเขารู้ว่าสงครามนั้นได้ก่อความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนอย่างไรบ้าง หลังจากที่เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของเธอแล้ว เธอก็ได้เผยความในใจว่ามีเรื่องหนึ่งที่เธออยากจะบอกต่อหน้านักบินที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของเธอ

    พูดมาถึงตรงนี้ก็มีคนส่งข้อความมาบอกว่า คนที่เธอต้องการพบกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ เธอจึงเผยความในใจออกมาว่า “ฉันอยากบอกเขาว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ แต่เราควรพยายามทำสิ่งดี ๆ เพื่อส่งเสริมสันติภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคต”

    เมื่อเธอบรรยายเสร็จ ลงมาจากเวที อดีตนักบินที่เกือบฆ่าเธอก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ เขามิใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศาสนาจารย์ประจำโบสถ์แห่งหนึ่ง เขาพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า “ผมขอโทษ ผมขอโทษจริง ๆ”

    คิมเข้าไปโอบกอบเขาแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย ฉันให้อภัย”
    ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะให้อภัยโดยเฉพาะกับคนที่ทำร้ายเราปางตาย คิม ฟุค เล่าว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่เธอทั้งกายและใจ จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร แต่แล้วเธอก็พบว่าสิ่งที่ทำร้ายเธอจริง ๆ มิใช่ใครที่ไหน หากได้แก่ความเกลียดที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง “ฉันพบว่าการบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้สามารถฆ่าฉันได้” เธอพยายามสวดมนต์และแผ่เมตตาให้ศัตรู และแก่คนที่ก่อความทุกข์ให้เธอ แล้วเธอก็พบว่า “หัวใจฉันมีความอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อย ๆ เดี๋ยวนี้ ฉันสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเกลียด”

    เราไม่อาจควบคุมกำกับผู้คนให้ทำดี หรือไม่ทำชั่วกับเราได้ แต่เราสามารถควบคุมกำกับจิตใจของเราได้ เราไม่อาจเลือกได้ว่ารอบตัวเราต้องมีแต่คนน่ารักพูดจาอ่อนหวาน แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะทำใจอย่างไรเมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา คิม ฟุค ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า “ฉันน่าจะโกรธ แต่ฉันเลือกอีกทางหนึ่ง แล้วชีวิตของฉันก็ดีขึ้น”

    บทเรียนของคิม ฟุค คือในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ เราจึงไม่ควรปักใจอยู่กับอดีต แต่เราสามารถเรียนรู้จากอดีตเพื่อทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีขึ้นได้ บทเรียนจากอดีตอย่างหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้มาก็คือ “การอยู่กับความโกรธ เกลียด และความขมขื่นนั้น ทำให้ฉันเห็นคุณค่าของการให้อภัย”

     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)
    การให้อภัยมิได้หมายถึงการลืมเหตุการณ์ที่เจ็บปวด แต่หมายถึงการไม่ยอมให้เหตุ การณ์เหล่านั้นมาทำร้ายเรา ผู้ที่รู้จักให้อภัยคือผู้ที่ยังจดจำอดีตอันไม่น่าพิสมัยได้ แต่แทนที่จะปล่อยให้อดีตนั้นมากระทำย่ำยี กลับเอาชนะมันได้และสามารถนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น เอามาเป็นบทเรียนเพื่อจะไม่ทำความผิดพลาดอีก และที่สำคัญคือเป็นเครื่องเตือนใจว่าความโกรธเกลียดนั้นเป็นอันตรายต่อตัวเราอย่างไรบ้าง

    เมื่อเราโกรธใคร อยากทำร้ายใครนั้น คนแรกที่ถูกทำร้ายคือตัวเรานั่นเอง ไม่ใช่แค่จิตใจเท่านั้นที่เร่าร้อนเหมือนถูกไฟสุม แม้แต่ร่างกายก็ยังได้รับผลกระทบด้วย มีบางคนที่มีอาการปวดท้องและปวดศีรษะเรื้อรัง อีกทั้งยังมีความดันโลหิตสูง หมอพยายามตรวจร่างกายแต่ก็ไม่พบความผิดปกติ หมอจึงขอให้เธอเล่าเรื่องราวในชีวิตของเธอให้ฟัง เธอเล่าว่ากำลังมีเรื่องขุ่นเคืองใจกับพี่สาวซึ่งทอดทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาตามลำพังอยู่หลายปี หมอจึงสันนิษฐานว่าความเจ็บป่วยของเธอมีสาเหตุมาจากความบาดหมางดังกล่าว จึงแนะให้เธอยกโทษแก่พี่สาว หลายปีต่อมาหมอได้รับจดหมายจากคนไข้รายนี้ว่าเธอคืนดีกับพี่สาวแล้ว และอาการเจ็บป่วยก็ไม่มารังควานอีกเลย

    มีอีกรายที่เจ็บป่วยโดยหมอไม่พบความผิดปกติในร่างกาย เธอมีอาการคลื่นไส้และระบบย่อยอาหารผิดปกติจนน้ำหนักลดไป ๑๕ กก. วันหนึ่งอาการได้กำเริบขึ้นเมื่อเธอได้รับจดหมายจากลูกพี่ลูกน้อง เธอเฉลียวใจในตอนนั้นเองว่าความเจ็บป่วยของเธอมีสาเหตุมาจากความโกรธเกลียด เธอทั้งโกรธและเกลียดลูกพี่ลูกน้องคนนั้นเพราะแอบไปมีความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่มของเธอ ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นเขียนจดหมายมาขอโทษเธอ เธอครุ่นคิดอยู่นาน และในที่สุดก็เขียนจดหมายตอบไปว่า “ฉันยกโทษให้เธอ” หลังจากนั้นสุขภาพเธอก็ดีขึ้นและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

    การให้อภัยเป็นเรื่องยาก แต่การมีชีวิตด้วยจิตใจที่โกรธแค้นพยาบาทกลับเป็นเรื่องที่ยากลำบากกว่า คนที่มีความโกรธเกลียดอัดแน่นเต็มหัวใจย่อมไม่อาจพบความสุขและความเบิกบานใจได้ คนเช่นนี้ย่อมยากที่จะมีศรัทธาและกำลังใจในการมีชีวิต ด้วยเหตุนี้เราจึงควรเรียนรู้ที่จะปลดเปลื้องความโกรธเกลียดไปจากจิตใจ ด้วยการรู้จักให้อภัยและหมั่นแผ่เมตตาไปให้แก่คนที่ทำความเจ็บปวดให้แก่เรา

    ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนึกถึงบุคคลดังกล่าวโดยที่จิตใจไม่พลุ่งพล่าน แต่เมื่อใดที่ใจเราสงบลองนึกถึงเขาอยู่เป็นระยะ ๆ นึกถึงแต่ละครั้งก็ยิ้มให้เขา แผ่ความปรารถนาดีให้เขา เราจะพบว่าเรายิ้มให้เขาได้ง่ายขึ้น และจิตใจกระเพื่อมน้อยลง ไม่นานเราก็จะให้อภัยเขาได้และมีความปรารถนาดีต่อเขาด้วยใจจริง

    ถึงตอนนั้นเราจะพบว่าสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาเป็นเวลานานนั้นมิใช่อะไรอื่น หากได้แก่ความโกรธเกลียดที่เคยอยู่ในใจเรานั้นเอง ความเจ็บปวดที่เกิดเพราะคนบางคนนั้นแท้จริงได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ที่ยังคงอยู่ก็เพราะใจเรานั้นเองที่ไปรื้อฟื้นและทนุถนอมมันเอาไว้ด้วยความจงเกลียดจงชังหมายมั่นจะแก้แค้น ตัวเขาอาจอยู่ไกลแสนไกล แต่เราเองต่างหากที่ไปดึงเขามาไว้กลางใจเราอยู่ทุกโมงยาม พูดให้ถูกต้องก็คือใจเรานั่นแหละที่สร้างปีศาจร้ายมาหลอกหลอนตัวเองอยู่ทุกขณะจิต ปีศาจที่แม้รูปร่างหน้าตาเหมือนคนที่เคยประทุษร้ายเรา แต่เป็นผลผลิตจากใจของเราเอง
    การให้อภัยและการแผ่เมตตาแท้ที่จริงก็คือการสยบปีศาจร้ายมิให้มาหลอกหลอนอีกต่อไป จะเรียกว่าเป็นการเชื้อเชิญมันออกไปจากจิตใจของเราก็ได้ ด้วยการให้อภัยและการแผ่เมตตาเท่านั้น จิตใจของเราจึงจะได้รับการเยียวยาและกลับเป็นปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง

    ในโลกที่เรามิอาจหลีกพ้นความพลัดพรากสูญเสีย ความเจ็บปวด และบาดแผลในใจ การให้อภัยและการแผ่เมตตาคือยาสามัญที่ควรมีไว้ประจำใจ
    :- https://visalo.org/article/sukjai254707.htm
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    อวสานของฝันร้ายและภาพหลอน
    พระไพศาล วิสาโล
    A Beautiful Mind เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองหลายรางวัลเมื่อปีที่แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากชีวิตจริงของนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะผู้หนึ่งที่คิดทฤษฎีสำคัญระดับโลกตั้งแต่อายุเพียง ๒๑ ปี และทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในอีก ๕๐ ปีต่อมา

    จอห์น แนช คือชื่อของนักคณิตศาสตร์ผู้นี้ ที่ชีวิตต้องกลับพลิกผันเนื่องจากเป็นโรคจิตเภท ในภาพยนตร์เรื่องนี้อาการป่วยของเขาก็คือการเห็นภาพหลอนของคน ๓ คน คนหนึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องพัก อีกคนหนึ่งเป็นลูกเพื่อน คนสุดท้ายเป็นสายลับของรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งมาชวนให้เขาทำงานต่อต้านนักจารกรรมต่างชาติ สายลับคนนี้ชักนำให้เขาทำอะไรต่ออะไรมากมายที่แปลกประหลาด และสร้างความพิศวงงงงวยให้แก่ภรรยาและเพื่อน ๆ

    แนชมารู้ภายหลังว่าทั้ง ๓ คนไม่มีอยู่จริง หากเป็นภาพหลอนที่เขาสร้างขึ้นเองอย่างเป็นตุเป็นตะมานานหลายปี แต่ทั้ง ๆ ที่รู้ ทั้ง ๓ คนก็ยังไม่ยอมหายไป หากตามมาหลอกหลอนเขาทุกหนแห่ง จนไม่เป็นอันทำอะไร แนชพยายามขับไล่ภาพหลอนทั้งสามออกไป บางครั้งถึงกับต่อสู้ปลุกปล้ำกับสายลับตนนั้น แต่นั่นก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ของเขาแย่ลง ใคร ๆ ก็เห็นว่าเขาบ้าแน่ที่ตะโกนโหวกเหวกและวิ่งเตะต่อยลมอยู่คนเดียว

    เขาถูกจับส่งโรงพยาบาลบ้าและรักษาตัวอยู่หลายปี ออกมาแล้วก็ยังเห็นภาพหลอนทั้งสามอยู่ แต่ระยะหลังเขาเริ่มเปลี่ยนท่าที แทนที่จะขับไล่และเข้าไปพันตูกับภาพหลอนเหล่านี้ เขาเริ่มไม่ให้ความสนใจกับมัน มันจะพูดจาชักชวนวิงวอนหรือท้าทายยั่วยุอย่างไร เขาก็ทำหูทวนลม ไม่อินังขังขอบ กำลังทำอะไรอยู่ ก็ทำสิ่งนั้นต่อไป ทีนี้ได้ผล ภาพหลอนแผลงฤทธิ์น้อยลง แม้จะยังมาปรากฏตัวอยู่ แต่ทิ้งห่างนานขึ้น หลายสิบปีผ่านไป ภาพหลอนก็ยังมาโผล่ให้เห็นเป็นครั้งคราว แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว เขารู้วิธีที่จะอยู่กับมันได้อย่างสันติ

    ในชีวิตจริงของแนช เขามีอาการหูแว่ว มิได้เห็นภาพหลอนอย่างในภาพยนตร์ แต่เรื่องราวที่ถ่ายทอดในภาพยนตร์ ก็ให้แง่คิดเกี่ยวกับจิตใจของคนเรามิใช่น้อย ถึงแม้จะไม่ได้ป่วยเป็นจิตเภทเลยก็ตาม คนปกตินั้นไม่เห็นภาพหลอนก็จริงอยู่ แต่ก็มักถูกความรู้สึกนึกคิดบางอย่างหลอกหลอนอยู่เสมอมิใช่หรือ เช่น อารมณ์โกรธ เกลียด พยาบาท หรือ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่มั่นใจตนเอง บางคนเวลาจะลงมือทำอะไรสักอย่าง ความล้มเหลวในอดีตก็ตามมาหลอกหลอน เสียงพร่ำย้ำเตือนว่า “ทำไม่ได้ ๆ ๆ” รบกวนจิตใจไม่รู้เลือน จะผูกสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับใครสักคน ความกลัวว่าจะถูกปฏิเสธหรือผิดหวัง ก็ตามมารังควานจิตใจ

    ความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ก็เหมือนกับภาพหลอนในภาพยนตร์เรื่องที่กล่าวมา อย่างแรกที่เหมือนกันก็คือมันเป็นสิ่งที่จิตเราปรุงแต่งขึ้นมาเอง เหตุการณ์บางอย่างแม้จะเคยเกิดขึ้นจริงในอดีต แต่อดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว มิใช่ของจริงในปัจจุบัน เมื่อได้ที่หวนคำนึงถึงมัน ก็เท่ากับว่ามันกำลังถูกปรุงแต่งขึ้นมา

    ความเหมือนประการที่สองก็คือ ความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ยิ่งขับไล่ไสสง มันยิ่งอยู่ยงคงทน ยิ่งสู้รบตบมือกับมัน มันยิ่งอาละวาด พิษสงเพิ่มพูนขึ้น ยิ่งไปให้ความสนใจกับมัน มันยิ่งมีกำลัง ในภาพยนตร์เรื่อง A Beautiful Mind ภาพหลอนทั้งสามพยายามเรียกร้องความสนใจจากแนช ขณะที่ภาพหลอนของสายลับพยายามพูดจายั่วโมโห ภาพหลอนของเพื่อนกลับพูดจาวิงวอนขอความเห็นใจ เมื่อใดที่แนชหันไปใส่ใจภาพหลอน มันก็ยิ่งได้ใจและมีอำนาจเหนือจิตใจของเขามากขึ้น ซึ่งทำให้เขาต่อต้านขัดขืนมันได้น้อยลง

    ใช่หรือไม่ว่าความโกรธเกลียดก็เช่นกัน ยิ่งเราไปใส่ใจกับมัน และทำตามอำนาจของมัน เช่น มันสั่งให้ด่า ก็ด่าตามมัน เราก็ยิ่งตกเป็นทาสของมัน กลายเป็นคนโกรธเกลียดง่ายขึ้น ทำนองเดียวกันกับความกลัว ยิ่งขับไสมัน พยายามห้ามไม่ให้มันมา มันก็ยิ่งมาถี่ขึ้น เข้าทำนอง “ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ” เรื่องอะไรที่ไม่อยากคิด มันก็ยิ่งมาเร้าจิตให้คิดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
    เคล็ดลับในการจัดการกับความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ก็คือ เมินเฉยมัน อย่าไปให้ความสนใจมัน มันมาปรากฏ ก็ไม่ไปขับไล่ไสสงมัน ขณะเดียวกันก็ไม่ไปทำตามมัน มันจะวิงวอนหรือยั่วยุอย่างไร ก็ทำใจวางเฉย เตือนตนด้วยมนตราคำเดียวว่า “ช่างมัน” ถือคติว่าต่างคนต่างอยู่ เขาก็อยู่ส่วนเขา เราก็อยู่ส่วนเรา ผีสางเทวดาอยู่คนละภพภูมิกับเราฉันใด ความรู้สึกนึกคิดที่มาหลอกหลอนเราก็ฉันนั้น โลกของเขาเป็นโลกของอดีตและความปรุงแต่ง ส่วนเราอยู่ในโลกของปัจจุบันและความจริง
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)
    ถ้าหากว่าจิตเริ่มตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวแล้ว ทีนี้จะแผ่เมตตาไปให้เขาด้วย ก็ยิ่งดี แผ่ความปรารถนาดีให้ความโกรธแปรเปลี่ยนเป็นความรัก ให้อารมณ์รุ่มร้อนเปลี่ยนเป็นอารมณ์สงบเย็น ให้ความกลัวและความน้อยเนื้อต่ำใจไปสู่ที่ชอบ ๆ อย่ามารบกวนกันอีกเลย แต่เขาจะไปหรือไม่ไป ก็ถือว่าเป็นเรื่องของเขา หน้าที่ของเราคือจดจ่ออยู่กับเรื่องราวของเรา ทำแต่ละชั่วโมงแต่ละนาทีให้ดีที่สุด

    วิธีนี้จะทำให้จิตของเรามีภูมิต้านทานมากขึ้น มีความตั้งมั่นอยู่ที่ “ตรงนี้และเดี๋ยวนี้” คืออยู่กับปัจจุบันนั่นเอง อย่างนี้แหละที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่ามี “สติ” เมื่อมีสติตั้งมั่น จิตไม่โอนเอียงหวั่นไหวไปกับอะไรง่าย ๆ ก็หมายความว่าเรามี “ไม้ตาย” ที่จะจัดการกับความรู้นึกคิดที่มาหลอกหลอน ไม้ตายนั้นก็คือการเพ่งพินิจมันด้วยจิตที่สงบและวางเฉย
    สิ่งหลอนนั้นไม่คงทนต่อการเฝ้าดู เมื่อเฝ้าดูด้วยสติ มันก็ยากที่จะคงทนอยู่ได้ เด็กสาวคนหนึ่งฝันร้ายอยู่เป็นอาจิณ ในฝันเธอชอบวิ่งหนีอสูรร้ายเข้าไปยังตึกที่มืดมิด เมื่อไปถึงประตูก็พยายามเปิดแล้วรีบปิด แต่ไม่ทันจะปิด พวกมันก็ฝ่าประตูเข้ามาหาเธอ แต่ไม่ทันที่พวกมันจะทำอะไรเธอ เธอก็ตื่นขึ้นและร้องไห้
    คราวหนึ่งเธอเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนคนหนึ่งฟัง เพื่อนถามว่าอสูรร้ายพวกนี้หน้าตาเป็นอย่างไร เธอตอบว่าไม่รู้เพราะเอาแต่วิ่ง คำถามของเพื่อนทำให้เธอเกิดความอยากรู้ขึ้นมาว่าอสูรพวกนี้เป็นแม่มดหรือเปล่า มีมีดหรือไม่ แล้วคืนหนึ่งเธอก็ฝันร้ายอีก อสูรร้ายวิ่งไล่เธอเช่นเคย ทีนี้เธอหยุดวิ่งและหันไปดูหน้าพวกมัน ใจหนึ่งก็กลัว แต่ก็รวบรวมความกล้า หันหลังชนกำแพง มองพวกมันชัด ๆ ปรากฏว่าเหล่าอสูรร้ายหยุดทันที พวกมันกระโดดขึ้นลง แต่ไม่มีตัวไหนเข้ามาใกล้ เธอพบว่ามีอสูรร้ายอยู่ ๕ ตัว แต่ละตัวรูปร่างเหมือนสัตว์ป่า เมื่อเธอเข้าไปมองมันใกล้ ๆ มันดูน่ากลัวน้อยลง และดูคล้ายภาพวาดในการ์ตูนมากกว่า แล้วก็ค่อย ๆ เลือนหายไป หลังจากนั้นเธอก็ตื่นขึ้น แล้วไม่เคยฝันร้ายแบบนั้นอีกเลย
    ภาพวาดในการ์ตูนตามมาหลอกหลอนเธอในความฝัน หากเธอไม่เพ่งมองมันชัด ๆ เธอก็ไม่มีวันรู้ความจริง และยังคงถูกมันตามไล่ล่าอยู่ต่อไป ภาพหลอนนั้นกลัวการเฝ้ามอง เพราะวิธีนี้เท่านั้นที่ผู้มองจะค้นพบความจริงว่ามันเป็นแค่ภาพหลอน มิใช่ความจริง ไม่มีอะไรที่ภาพหลอนจะกลัวเท่ากับความจริง และความจริงจะพบได้ก็โดยการเฝ้าดูด้วยจิตที่สงบไม่หวั่นไหวเท่านั้น

    แทนที่จะหนีและถูกความรู้สึกนึกคิดร้าย ๆ ตามไล่ล่า แทนที่จะพันตูสู้รบเพื่อขับไล่ไสส่งมัน ลองฝึกใจไม่อินังขังขอบมันสักพัก แล้วหันมาเฝ้าดูมันเฉย ๆ ดูบ้าง ความจริงจะปรากฏแก่เราในที่สุดว่ามันก็แค่สิ่งหลอนที่หามีพิษสงอะไรไม่
    :- https://visalo.org/article/sukjai254603.htm



     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    เปิดดูไฟล์ 6490619
    พรแห่งชีวิต : ความสุขของมนุษย์ที่แท้

    พระไพศาล วิสาโล
    คนเรา ถ้าสามารถเรียกร้องอะไรได้จากชีวิต เพียงแค่ขอให้กินง่าย ถ่ายคล่อง นอนสบาย เท่านี้ชีวิตก็เป็นสุขแล้ว

    พูดอย่างนี้ หลายคนคงต่อว่าในใจว่า..."อะไรกัน ขอเพียงเท่านี้เองเหรอ..." ถ้าขออะไรได้ ใครต่อใครคงขอให้ร่ำรวย เจริญด้วยยศศักดิ์ อำนาจและชื่อเสียง ได้เป็นดาราที่เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากแฟนๆไม่หยุดหย่อน หรือไม่ก็เป็นรัฐมนตรีมีระดับที่สูงทั้งไอคิวและไอเดีย อย่างน้อยๆก็ขอให้มีแฟนสวย เจ้าบ่าวหล่อ อะไรทำนองนั้น(และที่ลืมไม่ได้อย่างเด็ดขาดก็คือขอให้ค่าเงินบาทและราคาหุ้นพุ่งกระฉูด)

    การกินง่าย ถ่ายคล่อง นอนสบายดูเหมือนจะเป็นสิ่งพื้น ๆ ประเภทหญ้าปากคอก ไม่มีค่าไม่มีราคา จะใช้หากินหรือเอาไปอวดใครก็ไม่ได้ ตั้งแต่เล็กจนโตก็กินง่ายถ่ายคล่องอยู่แล้ว จะไปน่าสนใจอะไร

    แต่ของที่เป็นหญ้าปากคอกนี่แหละ สำคัญนักแล ลองกลั้นลมหายใจสักนาทีดู ก็จะรู้ว่าอากาศนั้นมีความหมายเพียงใดต่อชีวิต ถึงจะเป็นเซียนหุ้นฝีมือล้ำเลิศเพียงใด ในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างทุกวันนี้ ย่อมประจักษ์แก่ใจว่า ถ้าคืนไหนสามารถหลับได้เต็มตา ก็นับว่าโชคดีทีเดียว

    แม้ในยามเงินตราไหลสะพัด ก็ใช่ว่าการนอนหลับสนิทจะเป็นเรื่องที่ทำกันได้ง่าย ๆ คนเป็นอันมาก ทำงานตักตวงเงินจนเป็นเศรษฐีเงินล้าน แต่พบว่าสิ่งหนึ่งที่สูญเสียไปคือ ความสามารถที่จะนอนหลับสนิท ตอนเป็นเด็ก การหลับนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่พอโตขึ้น ของง่ายก็กลับเป็นเรื่องยากไป

    การนอน การกิน การถ่าย ไม่มีราคาค่างวดอะไรก็จริง แต่ก็เพราะไม่มีราคาค่างวดนี่แหละ ถึงได้เป็นปัญหาสำหรับคนยุคนี้นักธุรกิจถึงจะมีเงินร้อยล้านพันล้าน ก็ไม่สามารถเอาเงินซื้อสภาวะกินง่ายถ่ายคล่อง นอนสบายได้ ทุกวันนี้ปัญหาพื้นๆแบบนี้ ไม่ได้เป็นเฉพาะกับเจ้าของเบนซ์คันหรูเท่านั้น แม้กระทั่งเจ้าอีแตีกอีต๋อยก็เจอ"โรคสมัยใหม่"แบบนี้มากขึ้นทุกที

    น่าแปลกไหมที่มนุษย์แม้จะส่งคนไปโลกพระจันทร์ แปลงเพศ เปลี่ยนยีนได้ แต่กลับไม่สามารถเอาชนะโรคนอนไม่หลับได้เลย...ยานอนหลับที่วางขายกันเกลื่อนนั้น แก้ปัญหาได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว และที่จริงก็เพียงแต่ทำให้หลับ (ที่จริงต้องเรียกว่า "หมดสติ") แต่หาทำให้สบายไม่ ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกงัวเงีย สมองตื้อ ยังไม่ต้องพูดถึงผลข้างเคียงที่ติดตามมา แม้กระนั้น ยานอนหลับก็ยังติดอันดับขายดีทั่วประเทศ(และทั่วโลก)

    ที่จริงไม่ใช่แต่ยานอนหลับเท่านั้น ยาถ่ายก็ขายดีเช่นเดียวกัน คนสมัยนี้มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายทั้งนั้น แต่ครั้นจะพึ่งยาถ่ายทุกวี่ทุกวัน สุขภาพก็มีแต่จะแย่ลง สมัยนี้ใครที่ไม่มีปัญหาการถ่าย นับได้ว่ามีโชคอันประเสริฐ เพราะไม่เพียงแต่จะปลอดจากโรคท้องผูก ริดสีดวงทวาร แผลลำไส้ใหญ่เท่านั้น หากยังมีหวังแคล้วคลาดจากโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งลำไส้อีกด้วย
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)
    เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าการหลับง่ายถ่ายคล่องนั้นซื้อหาไม่ได้และไม่มีเทคโนโลยีใด ๆ จะเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้อย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น หมั่นออกกำลังกาย และกินอาหารที่มีเส้นใยมาก ๆ เช่นข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ก็ช่วยได้มาก

    แต่การกินง่ายนี่สิ ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก ใช่ว่ามีลิ้นแล้วจะกินอะไรเป็นอร่อยไปหมดก็หาไม่ การกินของง่าย ๆ พื้น ๆ แล้วยังรู้สึกอร่อยนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับจิตใจค่อนข้างมาก ลำพังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางกายอย่างที่ยกตัวอย่างข้างต้นนั้นเห็นจะไม่พอ แม้จะเปลี่ยนมากินผักมาก ๆ ก็ยังอยากปรุงแต่งให้อร่อย มีสีสันรูปลักษณ์น่ากิน แล้วก็ต้องเปลี่ยนเมนูบ่อย ๆ ด้วย เพราะขืนกินสูตรเดียวกันทุกวี่ทุกวันก็แย่เหมือนกัน

    ทั้ง ๆ ที่การกินง่ายไม่ใช่เรื่องง่าย แต่น่าสังเกตว่า เวลาไปถามรัฐมนตรีหรือนักธุรกิจพันล้านมักจะได้คำตอบตรงกันว่า ชอบกินราดหน้าบ้าง ก๋วยเตี๋ยวเป็ดบ้าง ดูใคร ๆ ก็ชอบแสดงตัวว่าชอบกินอะไรง่าย ๆ แต่เวลาประชุมพรรค หรือเลี้ยงฉลองกัน เป็นไฉนจึงชอบจัดตามโรงแรมดัง และสั่งอาหารหรูเริ่ดทุกครั้งไปก็ไม่รู้

    การกินง่าย ๆ ให้อร่อยนั้นไม่ได้อยู่ที่ลิ้นมากเท่ากับที่ใจ ถ้าใจไปให้คุณค่ากับอาหารราคาแพงคิดว่าอาหารอร่อยต้องกินตามโรงแรม หรือกินเพราะต้องการแสดงความโก้เก๋อวดบารมีเสียแล้ว กินผีดผัก แกงจืดจะไปมีรสชาติอะไร แม้แต่กล้วยแขกก็ไม่คู่ควรกับลิ้นของตัวเท่ากับเค้กช็อกโกแลต

    จะรู้จักรสชาติอาหารพื้น ๆ ได้ ก็ต่อเมื่อถอดหัวโขน เปลื้องเหรียญตรา และปีนลงมาจากหอคอยงาช้าง แต่จะดีกว่านี้ ถ้าหากปรับใจให้ตระหนักว่า ความอร่อยของอาหารนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามันกระตุ้นลิ้นได้มากเพียงใด อาหารที่มีรสจัดจ้าน ไม่ว่าหวาน เปรี้ยว เผ็ด ชนิดออกนอกหน้าโจ่งแจ้ง ไม่ใช่อาหารอร่อยเสมอไปรสชาติเรียบ ๆ ก็เป็นเสน่ห์ของอาหารอย่างหนึ่งเหมือนกัน แถมยังเป็นเสน่ห์ที่มีคุณค่ากว่ารสจัดจ้าน เพราะไม่เพียงแต่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น หากยังมีผลกล่อมเกลาจิตใจให้สงบด้วย ความสงบนี่แหละช่วยให้บังเกิดความสุขความรื่นรมย์ในขณะกินอาหาร โดยไม่ต้องมีเสียงเพลงจากนักร้องมาช่วยกล่อมเลยอย่าลืมว่า ความสุขไม่ได้เกิดจากการเร้าจิตกระตุ้นใจเท่านั้น ความสงบก็เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขด้วยเช่นกัน ทั้งยังเป็นสุขที่ประณีตและประเสริฐกว่าเสียด้วย

    คงเห็นแล้วว่า การรู้จักกินง่าย ๆ จะว่าเป็นเรื่องหญ้าปากคอกก็ได้ (เด็กที่ไหน ๆ กินกล้วยแขกก็รู้สึกอร่อย ตราบใดที่ยังไม่ถูกอิทธิพลโฆษณาแฮมเบอร์เกอร์ครอบงำ) จะว่าไม่ใช่หญ้าปากคอกก็ได้ เพราะต้องอาศัยคุณภาพจิตระดับหนึ่งด้วย ว่าไปแล้ว แม้แต่การนอนง่ายถ่ายคล่องก็เกี่ยวข้องกับจิตใจเช่นกัน ถ้าหงุดหงิดคิดมาก ท้องก็ผูกเป็นเรื่องธรรมดา หากเจ็บช้ำน้ำใจ อึดอัดขัดเคืองใคร ก็พลอยทำให้นอนไม่หลับกระสับกระส่ายทั้งคืน ถึงหลับได้ก็ฝันฟุ้งจนเหนื่อย ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกว่านอนไม่พอ ง่วงเหงาหาวนอนทั้งวัน

    ถ้าอยากนอนง่ายถ่ายคล่องจริง ๆ ก็ต้องรู้จักปล่อยวางให้เป็นด้วย นั่นหมายความว่าต้องฝึกใจให้คิดเป็นเรื่อง ๆ คิดเป็นที่เป็นทาง ไม่ใช่คิดแบบ "เรี่ยราด" คนที่ปล่อยใจคิดไปเรื่อย ๆ สุดแท้แต่อารมณ์ความรู้สึกจะพาไป ง่ายที่จะเป็นคนครุ่นคิดติดยึดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เก็บเอาเรื่องเล็กน้อยในสำนักงานมาเป็นอารมณ์ติดค้าง แม้กระทั่งเวลากลับมาบ้าน บางเรื่องแม้จะดูเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าหมกมุ่นครุ่นคิดกับมัน ไม่รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง มันก็จะเข้ามาครอบงำเรา กลายเป็นใหญ่เหนือเรา คราวนี้ถึงอยากจะวาง มันก็ไม่ยอมให้เราวาง มีแต่จะบังคับให้จิตของเรา ครุ่นคิดปรุงแต่งไปตามที่มันกำหนดทั้งวี่ทั้งวัน กระทั่งเวลานอนก็นอนไม่ได้ เพราะสลัดมันไปไม่สำเร็จ ปลิงที่ว่าเหนียวหนึบ ยังสู้ความครุ่นคิดกังวลใจไม่ได้

    ลองฝึกใจให้คิดเป็นเรื่อง ๆ ถึงเวลากินใจก็อยู่กับการกิน ถึงเวลาล้างจานใจก็อยู่กับการล้างจาน ถึงเวลาคุยใจก็อยู่กับการคุย ไม่พึงปล่อยใจไปกับเรื่องอื่นคนสมัยนี้มักเข้าใจไปว่าการคิดไปด้วยกินไปด้วยเป็นการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งเวลาหายากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนเก่ง ล้ำหน้าคนอื่น หารู้ไม่ว่านั่นคือการบั่นทอนคุณภาพชีวิตอย่างร้ายแรง นอกจากจะทำให้จิตไม่มีสมาธิกับงานใด ๆ แม้แต่งานเดียวแล้วยังทำให้ขาดสติคิดเรี่ยราดหรือฟุ้งซ่านได้ง่าย กลายเป็นคนเจ้ากังวล จมกับความเครียด ใครที่กินอาหารด้วยจิตแบบนี้ ก็เตรียมยารักษาโรคกระเพาะ ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือยาแก้ท้องผูกไว้ได้เลย มิหนำซ้ำ ถึงจะกินอาหารฮ่องเต้วิเศษปานใด ก็ไม่มีวันรู้สึกอร่อยไปได้ ตรงกันข้ามกับคนที่มีจิตใจผ่องใส โปร่งโล่ง กินอะไรก็อร่อยทั้งนั้น แม้จะเป็นข้าวแกงธรรมดา

    การกินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบายจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ พื้น ๆ อย่างที่เข้าใจถ้าอยากจะมั่งมีศรีสุขก็อย่าลืมตั้งจิตคิดถึงเรื่องนี้ด้วย อย่าสนใจเพียงแค่ทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น ส่วนคนที่มุ่งดับทุกข์ดับกิเลส ก็อย่าเพิ่งดูแคลนการกินง่ายถ่ายคล่องว่าเป็นเรื่องโลกย์ ๆ เพราะแท้ที่จริงแล้ว นี่เป็นเรื่องที่แยกไม่ออกจากการฝึกฝนจิตใจหรือการปฏิบัติธรรมเลยทีเดียว ถึงที่สุดแล้ว การกินง่ายถ่ายคล่อง หลับสบายนั้นเป็นเครื่องบ่งชี้สภาวธรรมที่สำคัญประการหนึ่งทีเดียว จางจื๊อ ปราชญ์จีนโบราณได้พูดถึงผู้บรรลุธรรมขั้นสูงว่า ...

    มนุษย์ที่แท้ในสมัยโบราณนั้น...
    นอนโดยไม่ฝัน
    ตื่นโดยไม่วิตก
    กินอาหารง่าย ๆ
    หายใจลึก ๆ

    คนที่ถึงจุดสุดยอดในทางธรรมไม่ใช่คนที่เหาะเหินเดินอากาศหรือหายตัวได้ หากแต่(เป็นคนที่)มีชีวิตอยู่อย่างสามัญ เป็นความสามัญที่ไม่ธรรมดาเลย

    ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้เงินทองจะร่อยหรอ ข้าวของจะแพง แต่ถ้าหากยังกินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบาย ก็ควรพึงพอใจได้แล้ว
    เพราะฉะนั้นวันนี้ เห็นจะไม่มีอะไรเหมาะสมเท่ากับคำอวยพรว่า... ขอให้ทุกท่าน กินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบายทุกวันวาร เทอญ.

    :- https://visalo.org/article/sukjai_PonHangCV.htm
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    ทางแพร่งของชีวิต
    พระไพศาล วิสาโล
    “เขา” เป็นนักธุรกิจหนุ่มที่เคยถึงจุดตกต่ำที่สุดในชีวิต ครอบครัวเป็นหนี้สินถึง ๗,๐๐๐ ล้านบาท ไม่ใช่แต่บ้านเท่านั้น กระทั่งกรมธรรม์ชีวิตก็ยังต้องไปจำนอง เงินฝากในธนาคารแทบไม่เหลือ เขาถูกบิดาขอร้องให้มากอบกู้ฐานะของบริษัทซึ่งครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเศรษฐกิจวิกฤต ก็กลายเป็น “ยักษ์ล้ม” จวนเจียนจะพังพาบ
    ในชั่วเวลาเพียงแค่สามปี เขาสามารถปลดเปลื้องหนี้สินได้หมด ยิ่งไปกว่านั้น อีกสามปีต่อมาบริษัทของเขากลับผงาดขึ้นมาใหม่ ติดอันดับหนึ่งในห้าของธุรกิจประเภทเดียวกัน มีผลประกอบการปีละเกือบ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เขากลายเป็นมหาเศรษฐีระดับหมื่นล้านที่ใคร ๆ ในวงการก็รู้จัก

    ถ้าคุณต้องแบกรับหนี้สินมหาศาลอย่างเดียวกับเขา ชั่วชีวิตนี้คงไม่หวังอะไรมากไปกว่าขอให้ปลดเปลื้องหนี้สินจนหมด และคงไม่มีวันไหนที่คุณจะเป็นสุขเท่ากับเมื่อวันนั้นมาถึง
    แต่ถ้าคุณไม่ได้เพียงแค่หมดหนี้สินเท่านั้น หากยังกลายเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านในเวลาไม่กี่ปี คุณคงนึกภาพตัวเองไม่ออกว่าจะดีใจล้นปรี่เพียงใด ถ้าไม่มีความสุขตอนนี้แล้ว จะมีความสุขตอนไหน

    แต่สำหรับเขาคนนี้ แม้จะมีความสำเร็จถึงขนาดนี้ ก็หาได้มีความสุขกับชีวิตไม่ เขาเริ่มรู้สึกเฉื่อยเนือย เบื่อหน่ายกับการทำงาน แต่ละวันหมายถึงเวลาที่ผ่านไปเปล่า ๆ เขารู้สึกว่า “ชีวิตเริ่มหมดค่าทางธุรกิจ” แต่ลึกลงไปเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า “ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง”

    หลังจากที่ไต่เต้าจนกลายเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้าน เขาพบว่ามันไม่ได้ช่วยให้เขามีความพึงพอใจกับชีวิตเลย ในที่สุดเขาก็พบว่ามีสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เขารู้สึกเต็มอิ่มกับชีวิตได้ นั่นก็คือ เป็นรัฐมนตรี

    จะเรียกว่าเขาเอาความสุขทั้งชีวิตฝากไว้กับตำแหน่งนี้ก็ได้ เพราะเขาเปิดเผยความในใจว่า หากนายกรัฐมนตรีไม่เลือกเขา “รับรองว่าความมั่นใจในตัวเองจะต้องหมด เป็นศูนย์เลย” เขาเล่าว่าคืนที่นายกรัฐมนตรีพิจารณาชื่อของเขานั้น “ผมจะตายให้ได้ ประสาทจะกินเอา....หากท่านไม่เอาเรา รับรองเจ๊งเลย”
    เขาเล่าว่า วันที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิตคือวันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ แต่เมื่ออ่านประวัติความเป็นมาของเขามาถึงตรงนี้ เราคงอดสงสัยไม่ได้ว่า ความสุขดังกล่าวของเขาจะอยู่ได้นานเท่าใด ครั้งหนึ่งเขาก็คงมีความสุขที่ปลดหนี้มหาศาลได้สำเร็จ แต่เขาหาได้พอใจเพียงเท่านั้นไม่ หากยังเพียรพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อพบว่าตนเองกลายเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้าน เขาก็คงมีความสุขมิใช่น้อย แต่ความสุขดังกล่าวก็ไม่ยั่งยืน จึงหันไปเอาดีทางการเมือง

     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)
    วันนี้เขาเป็นรัฐมนตรีช่วย แม้จะมีความสุขเพียงใด แต่สักวันหนึ่งเขาก็คงไม่พอใจที่เป็นแค่รัฐมนตรีช่วย ความหวังคือได้เป็นรัฐมนตรีว่าการ หากสมหวังเขาคงรู้สึกว่ามีความสุขที่สุดในชีวิต แต่เขาจะมีความสุขนานเท่าใดหากพบว่ากระทรวงที่ตนว่าการนั้นยังเป็นแค่กระทรวงเกรดซี ถึงตอนนั้นก็คงเอาความสุขไปฝากไว้กับตำแหน่งเจ้ากระทรวงเกรดบี และเกรดเอ ตามลำดับ และหากเขาประสบความสำเร็จ เขาจะยังพอใจเพียงเท่านั้นหรือในเมื่อยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

    ถึงจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีในที่สุด ก็ยังน่าสงสัยต่อไปว่าเขาจะมีความสุขไปได้นานเท่าใด และเมื่อถึงวันที่เขาพบว่าเป็นนายกรัฐมนตรีก็แค่นั้น (เหมือนกับที่เคยรู้สึกกับการเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้าน) เขาจะไต่เต้าไปไหนอีกถึงจะรู้สึกเต็มอิ่มและพอใจกับชีวิตเสียที

    ประธานาธิบดีมาร์คอสเป็นบุคคลที่เคยเรืองอำนาจอย่างถึงขีดสุดในประเทศฟิลิปปินส์ แทบเรียกได้ว่าเป็นเจ้าชีวิตของคนทั้งประเทศ แต่ครั้งหนึ่งเขาเคยเขียนความรู้สึกลงในบันทึกประจำวันว่า “ผมเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในฟิลิปปินส์ ผมมีทุกอย่างที่เคยใฝ่ฝัน พูดให้ถูกต้องก็คือ ผมมีทรัพย์สมบัติทุกอย่างเท่าที่ชีวิตต้องการ มีภรรยาซึ่งเป็นที่รักและมีส่วนร่วมในทุกอย่างที่ผมทำ มีลูก ๆ ที่ฉลาดหลักแหลมซึ่งจะสืบทอดวงศ์ตระกูล มีชีวิตที่สุขสบาย ผมมีทุกอย่าง แต่กระนั้นผมก็ยังรู้สึกไม่พึงพอใจในชีวิต”

    มีเงินนับหมื่นล้านก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตมีความสุขมากนัก ดัง “เขา” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน แต่ใช่ว่าเมื่อหันไปหาอำนาจแล้ว ชีวิตจะเป็นสุข ก็หาไม่ ดังมีมาร์คอสเป็นพยานรับรอง สัจธรรมดังกล่าวแม้จะชัดเจนและเห็นง่าย แต่คนเป็นอันมากกลับมองไม่เห็น เพราะคิดว่าที่ตัวเองไม่มีความสุขนั้นเป็นเพราะยังมีไม่พอ ถ้ามีมากกว่านี้ ก็จะเป็นสุข ดังนั้นจึงพยามตะเกียกตะกายไขว่คว้าหามาให้มาก ๆ แต่ก็มีความสุขแค่ตอนได้มาใหม่ ๆ เท่านั้น หลังจากนั้นไม่นานก็กลับรู้สึกเหมือนเดิม หรืออาจยิ่งกว่าเดิมเพราะต้องเสียเวลาและพลังงานมากขึ้นในการรักษาทรัพย์หรืออำนาจที่เพิ่มขึ้น

    การไล่ล่าหาทรัพย์และสมบัติเพราะคิดว่าจะทำให้มีความสุขมากขึ้น ทุกข์น้อยลงนั้น ไม่ต่างจากการวิ่งหนีเงาและรอยเท้าของตนเอง ไม่ว่าจะวิ่งเร็วเท่าใดหรือไกลเพียงใด เงาก็ยังไล่ตามทุกหนแห่ง ส่วนรอยเท้าก็ตามติดทุกฝีเก้า

    ทำอย่างไรเงาและรอยเท้าถึงจะหาย ?
    คำตอบก็คือ หลบมานั่งนิ่ง ๆ ใต้ร่มไม้

    ต่อเมื่อหยุดวิ่ง หยุดไขว่คว้าล่าไล่ ความสุขและความพึงพอใจในชีวิตจึงจะบังเกิดขึ้น อันที่จริง “เขา” เกือบจะพบคำตอบที่แท้จริงของชีวิตอยู่แล้ว ตอนที่เขารู้สึกว่าการเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านนั้นไม่มีความหมายอะไร หากเขากลับมาตั้งคำถามกับการไขว่คว้าล่าไล่สิ่งภายนอก และหันมาแสวงหาความสุขจากภายใน เขาอาจค้นพบความสุขที่แท้และยั่งยืน แต่แล้วเขากลับเลือกอีกทางหนึ่งเพราะคิดว่าที่ยังไม่มีความสุขนั้นเป็นเพราะยังมีไม่พอ

    พระพุทธองค์เมื่อครั้งทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนั้น คงมีความรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตอันพรั่งพร้อมบริบูรณ์ในพระราชวังไม่ต่างจาก “เขา” ตอนที่ถึงจุดสุดยอดในทางธุรกิจแล้ว แต่พระองค์ไม่ได้เลือกที่จะแสวงหาและตักตวงให้มากขึ้น หากเลือกที่จะสละให้เหลือน้อยที่สุด เริ่มด้วยการสละราชสมบัติและความสะดวกสบาย และจบลงด้วยการละวางความยึดถือในตัวตน จนพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง

    เมื่อใดที่รู้สึกเบื่อหน่ายท่ามกลางทรัพย์สมบัติและอำนาจ นั่นหมายความว่าชีวิตมาถึงทางแพร่งที่สำคัญ พึงระลึกว่าเรามีทางเลือกอยู่สองทาง นอกจากการตักตวงให้มากขึ้นหรือไขว่คว้าหาสิ่งใหม่แล้ว ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งนั่นคือหยุดไล่ล่าและหันมาแสวงหาความสุขจากภายใน

    หากจะเลือกทางแรกก็ขอให้ตระหนักว่ายังมีอีกทางเลือกหนึ่งที่รอรับการกลับมาของเรา
    :- https://visalo.org/article/sukjai254804.htm
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    การเมืองร้อนรุ่ม แต่ใจสงบเย็น
    พระไพศาล วิสาโล
    ทุกวันนี้ผู้คนสนใจการเมืองมากเกินไป เราติดตามข่าวสารวันละหลายชั่วโมง แต่แล้วกลับปล่อยวางไม่ได้ ใคร ๆ ก็ชอบบ่นว่าข่าวการเมืองทำให้เครียด แต่ยิ่งเครียดก็ยิ่งติดตามข่าวไม่ยอมห่าง จนถูกข่าวสารครอบงำชีวิตจิตใจไปโดยไม่รู้ตัว หลายคนดูข่าวไปก็สบถด่าไป ท่าทางมีความทุกข์มากกับสิ่งที่เห็น แต่ก็ไม่ยอมเลิกดูเสียที ราวกับว่าข่าวสารบ้านเมืองกลายเป็นนายเราไปแล้ว

    เราลืมไปแล้วหรือว่าข่าวสารบ้านเมืองเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต ชีวิตเรายังมีอีกหลายอย่างที่ควรสนใจ ดังนั้นเราจึงควรรู้จักปล่อยวางข่าวสารบ้านเมืองบ้าง เพื่อเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ รวมทั้งมีเวลาสำหรับตามลมหายใจบ้าง ลองหายใจเข้า-ออกด้วยความรู้สึกตัวหายใจเข้าลึก ๆ ก็รู้ตัว หายใจออกยาว ๆ ก็รู้ตัว หรือไม่ก็หาเวลาว่างไปอยู่กับธรรมชาติบ้าง มีเวลาชื่นชมต้นไม้ในสวนหลังบ้านหรือริมถนน อย่ามัวแต่หมกมุ่นครุ่นคิดกับเรื่องการเมืองจนลืมชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัว

    นอกจากวางการเมืองเอาไว้ข้างตัวชั่วคราวแล้ว ควรละวางความไม่พอใจต่อผู้คน โดยเฉพาะคนที่คิดแตกต่างจากเรา ใครจะไม่เห็นด้วยกับเรา ก็เป็นเรื่องของเขา อย่าไปเก็บเอามาเป็นอารมณ์ ในบรรยากาศที่ร้อนรุ่มแบบนี้ มี ๓ อย่างที่เราควรทำ คือ คือ “มองไกล ใจกว้าง วางได้”

    “มองไกล” คือมองย้อนไปในอดีตว่าคนที่คิดต่างจากเราเวลานี้ แต่ก่อนเขาก็เป็นเพื่อนเรา เคยคิดเห็นตรงกับเราหลายอย่าง และอาจเคยร่วมงานกันมามากมาย นอกจากมองย้อนหลังแล้วก็ควรมองไปข้างหน้าให้ไกล ๆ ด้วยว่า เรายังต้องอยู่ร่วมกับคนเหล่านี้ไปอีกนาน หากผิดใจกันแล้วจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขต่อไปได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้วันนี้เราจะเห็นต่างกัน แต่วันพรุ่งนี้คงจะมีหลายเรื่องที่เรากับเขาเห็นพ้องต้องกัน และคงได้ทำงานร่วมกันอีก ทุกอย่างไม่ได้จบสิ้นแค่วันนี้

    “ใจกว้าง” คือยอมรับว่าความแตกต่างเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครที่เห็นเหมือนกับเราในทุกเรื่อง แม้แต่คนที่เรารักและรักเราก็ยังคิดเห็นต่างจากเราในบางเรื่องบางเวลา ถ้าเราไม่พอใจคนที่คิดต่างจากเรา เราก็ต้องไม่พอใจคนทั้งโลก รวมทั้งไม่พอใจตัวเองด้วย เพราะตัวเราเองเมื่อวานก็ยังคิดต่างจากตัวเองในวันนี้ หรือแม้แต่ขณะนี้เราเองก็อาจมีความคิดเห็น ๒ อย่างขัดแย้งกัน (เช่น เสาร์อาทิตย์นี้ใจหนึ่งก็อยากไปวัดแต่อีกใจหนึ่งก็อยากไปเที่ยวต่างจังหวัด) ใจกว้างยังรวมถึงการตระหนักว่ามีแค่บางเรื่องเท่านั้นที่เรากับเขาคิดต่างกัน แต่เมื่อมองให้กว้างก็จะพบว่ามีมากมายหลายเรื่องที่เขาคิดเหมือนเรา รวมทั้งมีความเหมือนกันอีกหลายอย่าง เช่น อยากเห็นบ้านเมืองมีความสงบ ไม่ชอบคอร์รัปชั่น สงสารเมื่อเห็นคนประสบภัยสึนามิ

    “วางได้” ก็คือการรู้จักปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ออกไปจากจิตใจ อะไรก็ตาม หากแบกเอาไว้ย่อมทำให้หนักใจและเป็นทุกข์ แม้แต่ลูก พ่อแม่ หรือคนรัก หากเราครุ่นคิดถึงเขาตลอดเวลาเราก็จะกังวลจนนอนไม่หลับ ขนาดแบกคนที่เรารักยังทำให้ทุกข์ขนาดนี้ นับประสาอะไรกับการแบกยึดคนที่เราไม่ชอบ ที่น่าแปลกก็คือยิ่งไม่ชอบใคร ก็ยิ่งคิดถึงคนนั้น ใจจะจดจ่อหรือไวต่อเรื่องราวของคนนั้นเป็นพิเศษ ทำให้ยิ่งติดยึดเข้าไปใหญ่ แต่ถ้าเรามีสติ เราก็จะปล่อยวางเขาออกไปจากใจ และอยู่อย่างมีความสุขได้

    ปล่อยวางไม่ได้แปลว่าไม่รับผิดชอบ แต่หมายถึงการรู้จักเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ อย่างถูกเวลาถูกโอกาส เช่น เวลาทำงานก็ทำอย่างตั้งใจ แต่เมื่อเลิกงาน ก็วางมันลงได้ เวลาจะนอนก็ไม่เอางานการมาครุ่นคิดให้รกสมอง ในทำนองเดียวกัน เราควรมีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ข่าวสารบ้านเมืองจึงต้องติดตาม แต่อย่าจดจ่อจนหน้าดำคร่ำเครียด หรือกลายเป็นเสพติด จนวางไม่ได้ ปล่อยให้มันเข้ามาครองจิตครองใจ หรือแย่งเวลาและความสุขไปจากเราจนหมด เดี๋ยวนี้หลายคนไม่มีเวลาอยู่กับลูก ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว เพราะเอาแต่เฝ้าดูโทรทัศน์ติดตามข่าวสาร การทำเช่นนี้เป็นการทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว และกำลังทำร้ายครอบครัวไปพร้อมๆ กัน ยิ่งกว่านั้นยังอาจจะไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ถ้าทำด้วยความเครียด เต็มไปด้วยความโกรธเกลียด เราก็มีส่วนทำให้บ้านเมืองร้อนรุ่มตามไปด้วย
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)
    บ้านเมืองตอนนี้มีบรรยากาศราวกับอบอวลด้วยไอน้ำมัน พร้อมจะลุกเป็นไฟ เราอย่าเป็นคนหนึ่งที่ไปจุดไฟทำให้บรรยากาศร้อนแรงขึ้น ถ้าเราช่วยกันทำใจของตนให้สงบเย็น ทำให้คนในครอบครัวสงบเย็น ทำให้พ่อแม่พี่น้องของเราสงบเย็น เราก็อาจช่วยบ้านเมืองของเราได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

    ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจไม่ดี การเมืองน่าวิตก แต่อย่าลืมว่าคนเราไม่ได้มีเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมือง เราไม่ใช่เป็นสัตว์เศรษฐกิจหรือสัตว์การเมือง เรายังมีชีวิตส่วนตัว ยังมีชีวิตครอบครัว ยังมีชีวิตอีกหลายด้าน มีภาระหน้าที่อีกหลายส่วน รวมทั้งการฝึกฝนพัฒนาจิตใจ จึงควรใช้เวลาที่มีอยู่สำหรับการทำหน้าที่อื่น ๆ รวมทั้งทำใจให้สงบเย็นบ้าง จะได้รับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้ เราต้องยอมรับว่านี้คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแล้ว อย่าไปปฏิเสธมัน ยิ่งปฏิเสธก็ยิ่งเป็นทุกข์

    สิ่งที่ต้องทำในยามนี้เป็นอย่างแรกก็ต้องยอมรับความจริง จากนั้นก็ต้องปรับตัว เช่น ปรับการใช้ชีวิต ใช้จ่ายให้น้อยลง ทำงานหนักขึ้น ประการสุดท้ายคือ ต้องปรับใจด้วย คืออย่าปล่อยใจไปพึ่งพาวัตถุมาก อย่าให้ใจไปพึ่งพิงเงินทองมาก สาเหตุที่เราพากันพึ่งพาวัตถุก็เพราะเราต้องการหาความสุขจากวัตถุ แต่ความสุขไม่ได้เกิดจากวัตถุอย่างเดียว ความสุขเกิดจากจิตใจได้ด้วย ถ้าสามารถหาความสงบสุขจากจิตใจได้ เราจะพึ่งพาเงินทองหรือวัตถุน้อยลง นี้คือสิ่งที่ธรรมะช่วยเราได้ ธรรมะเป็นกุญแจไขไปสู่ความสงบเย็นภายใน เป็นสุขที่ไม่อิงกับอามิส คือ สุขแท้อันประเสริฐ เรียกว่า นิรามิสสุข

    ชีวิตของฆราวาสเปรียบเหมือนชีวิตที่เดินอยู่ในที่โล่ง ต้องเจอแดดเจอฝน ถ้าไม่มีอะไรปกป้องคุ้มกัน เจอแดดก็ร้อน เจอฝนก็เปียก แต่ถ้าเรามีร่ม ถึงฝนตกแดดออกก็ไม่เป็นไร ในชีวิตประจำวัน สิ่งที่เราต้องการคือร่มที่ปกป้องจิตใจไม่ให้ร้อนไปตามสิ่งแวดล้อม ไม่ให้ถูกกระทบจากสิ่งรอบตัว แดดจะร้อนอย่างไรแต่ใจสงบ ฝนจะตกอย่างไรแต่ใจปลอดโปร่ง ผู้คนจะร้อนรุ่มอย่างไร แต่ใจเย็นสบาย

    ใจต้องมีสิ่งปกป้องคือธรรมะ ร่างกายไม่เปียกเพราะว่ามีร่ม ใจไม่ทุกข์ ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ฟูไม่แฟบ ก็เพราะมีธรรมะเป็นเครื่องรักษาใจ เราจึงควรช่วยกันน้อมนำธรรมะมาปกป้องจิตใจ เพื่อให้ชีวิตเกิดความสงบสุข ใช่แต่เท่านั้นธรรมะยังช่วยให้ความสงบเย็นภายในใจเราแผ่กระจายไปยังคนรอบตัว ทั้งลูกหลาน พ่อแม่ คนรัก ตลอดจนเพื่อนร่วมงาน และกระจายไปถึงผู้คนในสังคมได้ด้วย

    :- https://visalo.org/article/sukjai255205.htm
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    ปี๊บของหลวงพ่อ วัดบ้านกร่าง
    พระเมธีธรรมสาร (ไสว ธมฺมสาโร) อดีตเจ้าคณะอำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี หรือที่ชาวบ้านแถบนั้นรู้จักในนามหลวงพ่อวัดบ้านกร่าง ตามชื่อวัดที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสนั้น ได้ชื่อว่าเป็น “พระขลัง” แม้เครื่องรางของขลังและวัตถุมงคลที่ท่านสร้างจะมีอยู่ไม่มากก็ตาม

    แต่สาเหตุที่ชาวบ้านเคารพนับถือท่านกระทั่งทุกวันนี้ แม้ท่านจะมรณภาพไป ๒๐ ปีแล้ว ไม่ได้อยู่ที่ความขลังของท่านอย่างเดียว ที่สำคัญกว่านั้นก็คือศีลาจารวัตรอันงดงามและปฏิปทาที่ท่านประพฤติเป็นแบบอย่างโดยความเรียบง่าย มักน้อย และเสียสละ

    มีเหตุการณ์หนึ่งซึ่งยังความศรัทธาซาบซึ้งแก่ญาติโยมอย่างมากก็คือ ตอนที่มีการระดมเงินสร้างอาคารเรียนของโรงเรียนหลังใหม่ของวัดบ้านกร่าง เนื่องจากทางการมีงบประมาณให้ไม่ถึงครึ่งของทุนที่จะใช้ก่อสร้าง จำเป็นต้องอาศัยเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา ท่านเห็นว่าพระจะต้องเป็นผู้นำในการเสียสละ

    วันหนึ่งท่านได้นัดหมายให้กรรมการวัดมาประชุมพร้อมกันที่กุฏิท่าน แล้วท่านก็ให้คนไปยกปี๊บ ๆ หนึ่งในห้องพระของท่านลงมา ปรากฏว่าปี๊บนั้นมีซองใส่เงินอัดแน่นอยู่เต็ม ท่านบอกว่าตั้งแต่ท่านมาอยู่วัดบ้านกร่าง เงินที่มีผู้ถวายแก่ท่าน ส่วนหนึ่งใช้ไปตามควรแก่สมณวิสัย อีกส่วนก็ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น สร้างเมรุเผาศพ และวิหาร ส่วนที่เหลือทั้งหมดอยู่ในปี๊บนี้ ท่านขอให้กรรมการวัดเอาออกมานับรวมกัน ได้เท่าไรบริจาคสร้างโรงเรียนทั้งหมด

    เมื่อกรรมการวัดเอาซองเงินออกมา ก็พบว่าซองยิ่งอยู่ลึก ก็ยิ่งเก่าจนกระดษาเหลือง แสดงว่าปัจจัยที่ญาติโยมถวายท่านในโอกาสต่าง ๆ นั้น ท่านไม่ได้เปิดดู และไม่สนใจว่าเป็นเงินมากน้อยเท่าใด ได้มาก็ใส่ปี๊บเอาไว้ เมื่อจำเป็นก็ใช้ไป ส่วนที่เหลือก็อยู่อย่างนั้น ญาติโยมจึงศรัทธาท่านขึ้นกว่าแต่ก่อน ด้วยประจักษ์แก่สายตาว่าท่านไม่ติดในปัจจัยที่ได้รับ

    นอกจากท่านจะไม่ยึดติดในลาภแล้ว กับผู้มีเงินท่านก็ไม่ได้มีฉันทาคติด้วย ตอนที่มีการสร้างห้องแถวในตลาดนั้น ทางวัดให้เจ้าของแต่ละคนลงทุนและดำเนินการก่อสร้างกันเอง วัดเพียงให้เช่าที่ดินในราคาถูก (คูหาละ ๖๐ บาทต่อปี ปัจจุบันเพิ่มปีละ ๑๐๐ บาท) แต่มีปัญหาคือคนส่วนมากอยากได้ห้องหัวมุม เพราะอยู่ใกล้ท่ารถท่าเรือ เป็นทำเลดีเหมาะแก่การค้าขาย

    มีคหบดีบางคนเสนอท่านว่า พวกเขาขอสิทธิ์พิเศษเลือกเอาห้องหัวมุมดังกล่าว โดยจะสร้างถวายวัดคนละห้องเป็นการตอบแทน หลวงพ่อไม่ยอม เพราะเห็นว่าเป็นการไม่ยุติธรรมต่อผู้อื่น ยิ่งกว่านั้นก็คือวัดจะกลายเป็นผู้รับสินบน เห็นแก่ผลประโยชน์ แม้จะมิใช่ผลประโยชน์ส่วนตัวก็ตาม

    วิธีของท่านคือให้ทุกคนจับฉลาก ใครได้พื้นที่ตรงไหนก็สร้างห้องของตนตรงนั้น ทีแรกคหบดีเหล่านั้นไม่พอใจ ถึงกับจะยกเลิกการสร้างห้องของพวกตน โดยคิดว่าถ้ารวมหัวถอนตัวกันไปหลายคน โครงการสร้างห้องแถวก็อาจต้องล้มเลิก แต่หลวงพ่อไม่ได้วิตกอะไร ใครจะสร้างหรือไม่ท่านไม่ว่า ในที่สุดตลาดก็สร้างสำเร็จ ส่วนพวกคหบดีเหล่านั้นต้องยอมแพ้ ยอมจับสลากห้องแถวของตนเหมือนคนอื่น ๆ
    :- https://visalo.org/article/budLumTarn.htm
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    จะใช้ชีวิตอย่างไรให้เป็นสุขในช่วงปีใหม่และทุกๆ วัน
    พระไพศาล วิสาโล
    ยุคนี้เป็นยุคโลกาภิวัตน์ คำนี้มีความหมายหลายแง่ แต่แง่หนึ่งก็คือการไหลบ่าของบริโภคนิยม ทำให้ผู้คนมุ่งการมี การเสพ การครอบครองวัตถุเยอะๆ ทำให้ผู้คนคิดถึงแต่ตัวเองมากขึ้น ตอนนี้อาตมาคิดว่าสังคมไทยมีปัญหาหลักๆ ๔ ประการ คือ

    ประการที่หนึ่ง ผู้คนคิดถึงตัวเองมากกว่าผู้อื่น เอาประโยชน์ส่วนตัวหรือเอาความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่สนใจส่วนรวม ไม่สนใจสังคม หรือไม่สนใจแม้กระทั่งครอบครัวด้วยซ้ำ

    ประการที่สอง ติดยึดหรือหวังพึ่งพิงทางวัตถุ เข้าใจว่าความสุขจะได้มาก็จากการเสพวัตถุ จึงคิดแต่จะครอบครองหรือว่าเสพวัตถุให้ได้มากที่สุด เพราะคิดว่าวัตถุเท่านั้นที่เป็นที่มาประการเดียวของความสุข

    ประการที่สาม หวังลาภลอยคอยโชคและนิยมทางลัด เดี๋ยวนี้เรามักบ่นกันว่าทำไมคนไทยชอบเล่นการพนัน ชอบโกง คอรัปชั่น หรือว่าหลงใหลไสยศาสตร์ อันนี้เป็นเพราะว่าเราหวังลาภลอยคอยโชคและนิยมทางลัด จึงติดการพนัน ติดหวย ติดลอตเตอรี่ นักเรียนก็คิดแต่ว่าทำอย่างไรจะได้คะแนนดีโดยไม่เหนื่อย เพราะฉะนั้นการลอกข้อสอบ การโกงข้อสอบเป็นเรื่องธรรมดามาก ไม่สนใจเรียนแต่ขอเกรดครู ส่วนคนที่อยากรวยก็เล่นการพนันซื้อหวยหรือพึ่งพาวัตถุมงคล ไม่สนใจทำมาหากิน

    ประการที่สี่คือ การคิดไม่เป็น ใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล เอาความถูกใจมากกว่าความถูกต้อง

    ถามว่าทำอย่างไรสังคมจะมีความสุข ผู้คนมีความสุข ก็ต้องเปลี่ยนทัศนคติสี่ประการ
    คือประการที่หนึ่ง นึกถึงผู้อื่นมากกว่าตัวเอง ประการที่สอง สองสามารถเข้าถึงความสุขโดยไม่อิงวัตถุ ความสุขที่ไม่อิงวัตถุหมายถึงความสุขที่ได้จากการทำความดี ความสุขจากการที่ได้ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น ความสุขจากการที่ได้ทำสิ่งที่ยากให้สำเร็จได้ ความสุขจากสมาธิภาวนา อันนี้คือความสุขที่ไม่อิงวัตถุ

    ประการที่สามพึ่งความเพียรของตัวเอง อยากได้อะไรก็ต้องใช้ความเพียรของตัวเอง คนไทยเราถ้ามีความเพียรเป็นที่พึ่งเราจะประสบความสำเร็จทั้งในชีวิต การทำงานและส่วนรวม คนเราถ้ามีความเพียรเป็นที่พึ่ง ก็จะสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เน้นเรื่องความเพียรมาก อาตมาคิดว่าทุกศาสนาก็เน้นตรงนี้คือเอาความเพียรเป็นที่พึ่ง

    ประการที่สี่ คิดดี คิดเป็น เห็นชอบ ก็คือรู้จักคิดอย่างฉลาด ไม่มองแต่แง่ลบ มองแง่บวกด้วย เจอปัญหาก็ไม่ท้อ เพราะมองเห็นว่าปัญหาทั้งหลายมีข้อดีอย่างไรบ้าง ถูกวิจารณ์แทนที่จะโกรธก็มองว่า สิ่งที่เขาพูดมามีข้อดี ถูกต้องอย่างไรบ้าง แม้แต่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ไม่ทุกข์ เพราะเราสามารถจะหาประโยชน์จากความเจ็บป่วยได้ ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่า ป่วยทุกทีก็ต้องฉลาดทุกที เพราะความเจ็บป่วยมาเตือนให้เราฉลาด มาเตือนให้เราตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิต เตือนให้เราไม่ประมาท และทำให้เราเห็นว่าความสุขที่จริงมันง่ายนิดเดียว เพียงแค่เราไม่ป่วยเราก็มีความสุขแล้ว แต่คนไม่ได้คิดอย่างนี้ ตอนที่มีสุขภาพดีก็อยากได้นู่นอยากได้นี่ แต่พอเจ็บป่วยขึ้นมาจึงรู้ว่า ความสุขนี้มันง่ายนิดเดียว เพียงแค่เราไม่ป่วย เพียงแค่สุขภาพปกติเราก็มีความสุขแล้ว

    อาตมาคิดว่าถ้าคนไทยมีธรรมะสี่ประการนี้ ไม่ว่านับถือศาสนาใด ก็จะมีความสุขได้ง่าย เจอความทุกข์ เจอความลำบากก็ไม่กลัว กล้าสู้สิ่งยาก เพราะรู้ว่าลำบากวันนี้ก็จะสบายวันหน้า และเมื่อมีความสุขแล้วเราก็จะมีกำลังในการทำความดี สร้างประโยชน์ให้ส่วนรวม ถ้าคนไทยคิดอย่างนี้กันมากขึ้น สังคมไทยก็จะเป็นสังคมที่สงบสุข
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)
    เดี๋ยวนี้เราไม่มีเวลาให้กันแม้กระทั่งในครอบครัว ไม่มีแม้แต่เวลาจะกินข้าวด้วยกัน หรือคุยด้วยกัน บางทีได้เวลากินข้าวก็ต้องโทรศัพท์เรียกให้ลงมากินข้าวหรือว่าส่งอีเมล์ไปหาลูก เพราะลูกเอาแต่เฝ้าอยู่หน้าจอ ส่งอีเมล์มาบอกว่าลูกลงมากินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวนี้เรามีเวลาให้คนอื่น คนที่อยู่คนละทวีป คนละประเทศ แต่เราไม่มีเวลาให้แก่คนใกล้ชิด อันนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราไปหลงติดติดกับเทคโนโลยี พอเราไปลุ่มหลงกับเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ไอโฟน เฟซบุ๊ค เราเลยไม่มีเวลาให้คนที่อยู่ใกล้ชิด

    เราต้องเริ่มต้นจากการเห็นว่าความรัก ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันในครอบครัวเป็นที่มาแห่งความสุข ให้เวลาแก่กันมากขึ้น อย่าไปหลงไหลเทคโนโลยีมากเกินไป อย่าไปเสียเวลากับเทคโนโลยีมากเกินไป แล้วก็ฟังกันให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่ลูกฟังพ่อแม่เท่านั้น คือพ่อแม่อยากให้ลูกฟังพ่อแม่ แต่ว่าลูกจะฟังพ่อแม่ได้ พ่อแม่ต้องฟังลูกก่อน เดี๋ยวนี้มีปัญหาในครอบครัวมาก ว่าลูกไม่ฟังพ่อแม่ แต่อาตมาคิดว่าทั้งหมดนี้เกิดจากการที่พ่อแม่ไม่ค่อยฟังลูก ถ้าพ่อแม่ฟังลูก ลูกก็จะฟังพ่อแม่ ถ้าลูกฟังพ่อแม่ พ่อแม่ก็จะฟังลูกมากขึ้นเช่นกัน

    การฟังซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความเข้าใจเห็นอกเห็นใจกัน แล้วก็จะเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันได้มากขึ้น จะมีความรักความเห็นใจกันมากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะในครอบครัวเท่านั้น แต่รวมถึงในที่ทำงาน ในหมู่เพื่อนฝูง ในสังคม ถ้าเราฟังซึ่งกันและกันให้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน การฟังซึ่งกันและกัน จะทำให้เราเคารพกัน เข้าใจกัน ตอนนี้เมืองไทยผู้คนไม่ค่อยฟังกัน ถ้าอยู่คนละกลุ่ม คนละสี คนละค่าย คนละพรรคก็ไม่ฟังกันแล้ว ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน เกิดอคติและในที่สุดก็สร้างภาพให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นตัวเลวร้าย ทำให้เกิดเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เกิดความเกลียดชังกัน การที่คนเราจะรักกันได้ ไม่ได้หมายความว่าต้องคิดเหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่าต้องใส่เสื้อสีเดียวกัน เพราะยุคโลกาภิวัตน์มันมีแต่ความแตกต่าง เราไม่สามารถทำให้คนคิดเหมือนกันได้ การที่คนเราจะรักกันได้ต้องเริ่มต้นจากการเปิดใจฟังกัน และทำความเข้าใจกัน

    นอกจากเปิดใจฟังกันและกันแล้ว ก็ควรที่จะเปิดใจฟังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองด้วย ถ้าเราฟังความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง เราจะรู้ทันจิตใจของเรามากขึ้น เดี๋ยวนี้คนเรานอกจากไม่เป็นมิตรหรือรู้สึกแปลกแยกกับคนอื่นแล้ว เรายังไม่เป็นมิตรกับตัวเอง แปลกแยกกับตัวเองด้วย คนสมัยนี้บอกว่ารักตัวเอง แต่พอให้อยู่กับตัวเองก็อยู่ไม่ได้ ต้องไปนู่นต้องไปนี่ ทำตัวให้วุ่นกับงาน เที่ยวห้าง โทรศัพท์ถึงเพื่อน เพราะว่าอยู่กับตัวเองไม่ได้

    ทำไมอยู่กับตัวเองไม่ได้ ก็เพราะว่าทนตัวเองไม่ได้ มีความขัดแย้งกับตัวเอง อาตมาคิดว่าถ้าคนเราหันมาใส่ใจกับความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง คือมีสติรู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง เราจะเป็นมิตรกับตัวเองง่ายขึ้น เราจะเหงาน้อยลง เราจะแปลกแยกกับตัวเองน้อยลง แล้วเราสามารถจะอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่กับผู้อื่นก็ราบรื่นกลมเกลียว ทั้งหมดนี้ต้องเริ่มต้นจากการที่เราเป็นมิตรกับตัวเองให้ได้

    ปีใหม่นี้ ใครๆ ก็อยากได้ของใหม่ อยากได้ชีวิตใหม่ แต่ชีวิตใหม่ไม่ได้เกิดจากการที่เรามีโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ มีรถคันใหม่ มีบ้านหลังใหม่ อันนั้นไม่ได้ทำให้มีชีวิตใหม่อย่างแท้จริง จะมีชีวิตใหม่อย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อเรามีคุณภาพจิตแบบใหม่ เริ่มต้นจากการเป็นมิตรกับตัวเอง รักตัวเองอย่างแท้จริง อยู่กับตัวเองได้ เมื่อเรามีความสุขในตัวเอง เราก็จะสามารถแบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่นได้

    การอยู่กับตัวเองยังรวมไปถึงการอยู่กับปัจจุบันด้วย ปีใหม่จะให้ชีวิตใหม่อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเราทิ้งสิ่งเก่าๆ ไป นิสัยที่ไม่ดีเก่าๆ ก็วางหรือทิ้งเสีย อารมณ์เก่า ๆ ที่หมักหมมค้างคาในใจ รู้จักปล่อย รู้จักวางบ้าง ถ้ามันสะสมอยู่ในใจก็จะกลายเป็นพิษ เหมือนกับอาหารที่เรากิน ถ้าถ่ายไม่หมด มีสิ่งตกค้างหมักหมมมากๆ ก็จะเป็นพิษต่อร่างกาย อาจทำให้เกิดมะเร็งได้ อารมณ์ที่หมักหมมในจิตใจก็อาจทำให้ เกิดเป็นมะเร็งในจิตใจได้

    ปีใหม่ควรเป็นเวลาที่เราจะได้ปล่อยวาง หรือว่าขจัดปัดเป่าอารมณ์เก่าๆ ออกไป ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ ความท้อแท้ ความเกลียด อย่าเก็บความโกรธเอาไว้ อย่าเก็บความเกลียดเอาไว้ อย่าเก็บสะสมความเศร้าเอาไว้ ปีใหม่ทั้งทีก็ปลดเปลื้องออกไป การมีสติเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเรามีสติ สติจะช่วยขจัดปัดเป่าอารมณ์เก่าๆ ไป ไม่ให้หมักหมมในจิตใจ และทำให้ชีวิตใหม่อยู่เสมอ ตื่นขึ้นทุกวันจะไม่ใช่เป็นแค่เช้าวันใหม่แต่จะเป็นวันเริ่มต้นของปีใหม่ ของชีวิตใหม่

    ทำทุกวันให้เป็นวันใหม่อยู่เสมอ แม้ว่าชีวิตประจำวันยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ต่างจากเมื่อวาน แต่ว่ามีความรู้สึกใหม่ มีความรู้สึกใหม่เพราะว่าเราวางความรู้สึกเก่าๆ ทำให้ใจเราโปร่งโล่ง ปลอดจากความเศร้า ความโกรธ ความเกลียด ความหม่นหมองในใจ เราจะเป็นมิตรกับตัวเองได้ ก็ต้องรู้จักปล่อยวางอารมณ์ที่เศร้าหมอง ละวางความโกรธ ความโลภ มีความเพียร ใส่ใจในการทำความดี ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะทำให้เรามีชีวิตใหม่อย่างแท้จริง แม้ว่าเรายังมีรถคันเดิม มีบ้านหลังเดิม ใช้โทรศัพท์มือถือเครื่องเดิม แต่ถ้าเรามีคุณภาพจิตแบบใหม่แล้ว เราจะมีชีวิตใหม่อย่างแท้จริง ทุกวันจะเป็นเวลาแห่งความสุข ทุกวันจะใหม่เสมอสำหรับเรา และทุกชั่วโมงก็จะใหม่เสมอเช่นเดียวกัน

    ขอให้ทุกท่านได้รับสิ่งนี้ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งประเสริฐ คำว่าพรแปลว่าสิ่งประเสริฐ สิ่งประเสริฐหรือสิริมงคลในพุทธศาสนา ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ แต่คือธรรมะในจิตใจ ธรรมะในจิตใจไม่มีใครที่จะให้แก่เราได้ มีแต่เราต้องทำขึ้นมาเอง แต่ถ้าเราสามารถสร้างหรือทำขึ้นมาได้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นของขวัญอันประเสริฐที่สุด อยากให้เรามอบของขวัญอันประเสริฐนี้แก่ตัวเราเอง ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาให้ ไม่ต้องรอพรจากพระสงฆ์องคเจ้า เราสามารถมอบของขวัญให้ตัวเอง สร้างสิ่งประเสริฐคือพรให้แก่ตัวเอง แล้วเราจะได้ชีวิตใหม่ ทำให้เป็นปีใหม่อย่างแท้จริง
    :- https://visalo.org/article/budPornPeMai56.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...