บทความให้กำลังใจ(แพ้พ่ายเพราะใจไม่นิ่ง)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)
    ความเมตตากรุณาของคนภายนอกนั้น เป็นสิ่งที่ต้องแสดงออกมาให้เห็นก่อนที่จะสัมผัส หรือในระหว่างที่สัมผัส เช่น ความอ่อนโยน นุ่มนวล ทางสีหน้าหรือน้ำเสียง เพื่อคนที่เจ็บปวดจะรับรู้ถึงเมตตาและทำให้ความเจ็บปวดนั้นทุเลาได้ แต่มือขวาไม่ต้องแสดงอาการอย่างนั้นกับมือซ้ายก็ได้ ไม่ต้องทำอะไรมากกว่านั้น มือซ้ายก็สบาย รู้สึกดีขึ้นเพราะรู้ว่าเมีความปรารถนาดี มันเป็นความเชื่อมโยงที่สัมผัสกันได้ สามารถเกิดระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน
    เป็นเรื่องที่ดีมากหากเราปฏิบัติต่อกันเหมือนมือขวาและมือซ้ายได้ โดยเริ่มต้นที่คนใกล้ชิดก่อน คือเพื่อนกับเพื่อน พี่กับน้อง สามีกับภรรยา แล้วขยายไปถึงเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน เพื่อนที่อยู่ในหน่วยงานเดียวกัน หรือเพื่อนที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน ขยายออกไปแม้กระทั่งกับคนที่ไม่ใช่เพื่อนหรือเป็นเพียงแค่เพื่อนมนุษย์ก็สัมพันธ์ในลักษณะนั้นได้ แม้เป็นเรื่องยากแต่เป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะนี่ก็เป็นอุดมคติของมนุษย์ที่ควรทำต่อกัน เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายได้แสดงเป็นแบบอย่างแก่เรา
    อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์อย่างมือซ้ายและมือขวานี้ควรเกิดขึ้นระหว่างกายกับใจเราด้วย ถ้ากายกับใจอยู่ใกล้ชิดกัน มีความสัมพันธ์กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันแล้ว เราจะทุกข์น้อยลงมาก แต่อย่างที่เรารู้กัน กายกับใจบางครั้งก็ไม่ได้ใกล้ชิดกันหรือช่วยเหลือกันเท่าไหร่ เวลากายปวด บ่อยครั้งใจกลับซ้ำเติม ทำให้กายแย่ลง เช่น พอรู้ว่าร่างกายมีก้อนมะเร็ง ใจก็ซึมเศร้า ทำให้หมดเรี่ยวแรงไปเลย หรือพอวิตกกังวลว่า “ฉันจะตายแล้วหรือนี่” กายก็ทรุดหนักลงหรือตายเร็วขึ้น เช่น คุณป้าคนหนึ่งไปหาหมอหลายครั้งโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร กระทั่งวันหนึ่งหมอบอกว่า “ป้าเป็นมะเร็งตับนะ อยู่ได้ไม่เกินสามเดือน” ปรากฏว่าป้าตกใจมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ วิตกกังวลสารพัด สุดท้ายอยู่ได้แค่ ๑๒ วันก็ตาย
    อย่างนี้เรียกว่าใจไปซ้ำเติมกาย แทนที่จะช่วยพยุงให้กายให้ดีขึ้น กลับฉุดให้ย่ำแย่ลง บางคนร่างกายปกติดี แต่ใจเต็มไปด้วยความโกรธเกลียด เคียดแค้นพยาบาท ร่างกายก็เลยป่วย ความดันสูง ปวดหัว ปวดท้องเรื้อรัง รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เพราะหมอหาสาเหตุทางกายก็ไม่พบ ได้แต่รักษาตามอาการ นี่เรียกว่าใจไปซ้ำเติมกาย หรือทำร้ายร่างกาย

    หน้าที่ที่ใจควรมีต่อกาย คือช่วยให้ดีขึ้น ไม่ใช่ซ้ำเติมให้แย่ลง หากใจเป็นมิตรกับกาย ใจจะไม่ทำอย่างนั้น พอกายแย่ ใจจะช่วยให้กำลังใจ มองแง่บวก นึกถึงสิ่งดี ๆ ที่เป็นกุศล หรือมีสมาธิ ร่างกายก็จะหายไวขึ้น เจ็บปวดน้อยลง อันที่จริงเพียงแค่ทำใจให้เป็นปกติ ไม่ตีโพยตีพาย ก็ช่วยความเจ็บปวดของกายทุเลาลงได้

    ถ้ากายกับใจเกื้อกูลกันเหมือนกับมือซ้ายและมือขวา เราจะมีความสุขได้ง่ายมาก ความทุกข์จะลดลงไปเยอะ เช่นเมื่อทำอะไร ใจก็รู้ มีสติ รู้ตัว ความรู้ตัวจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเดือดร้อน เวลาขับรถ ก็ถึงที่หมายโดยปลอดภัย ไม่เกิดอุบัติเหตุ ควบคุมเครื่องจักร ก็ไม่เผลอจนเกิดความผิดพลาด ถึงกับเสียมือเสียขาไป เวลาพักผ่อน ใจก็ไม่คิดฟุ้งซ่าน ทำให้หลับได้ง่าย ร่างกายก็มีสุขภาพดี

    ที่พูดมาเป็นเรื่องใจช่วยกาย ที่จริงกายก็ช่วยใจได้มากมาย ก่อนอาตมาบวชมีช่วงหนึ่งที่เซ็งสุดๆ ไม่มีความกระตือรือร้น ตื่นก็สาย แม้กระนั้นก็ซึมเซาทั้งวัน เรียกว่าถีนมิทธะครอบงำ เวลาประชุมก็จะง่วงนอนไม่มีส่วนร่วมกับวงประชุมเลย ทั้งๆ ที่อายุเพียง ๒๔ ปีเท่านั้น ทีแรกก็คิดว่าเป็นเพราะเหนื่อยอ่อน จึงพักผ่อนให้มากขึ้น แต่กลับเฉื่อยชายิ่งกว่าเดิม ทำอย่างไร ๆ ก็ไม่หาย จนได้ดูหนังเรื่องหนึ่ง ก็เกิดกำลังใจ พยายามเคี่ยวเข็ญให้ตัวเองตื่นแต่เช้า ไปวิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกาย ทีแรกก็ลำบากมากเพราะไม่อยากตื่นเช้า แต่ผ่านไปไม่กี่วันก็รู้สึกดีขึ้น เกิดความกระฉับกระเฉงขึ้นมาก อันนี้เป็นเพราะเมื่อร่างกายแข็งแรงตื่นตัว ก็ช่วยกดใจให้หายเบื่อหายเซ็ง

    เราจะสังเกตเห็นเรื่องทำนองนี้ได้จากชีวิตประจำวัน เช่น เวลารู้สึกท้อแท้เพราะเจออุปสรรคมากมาย หรือเหนื่ยอ่อนเพราะทำงานมาทั้งวัน แต่พอได้นอนเต็มที่ ตื่นขึ้นมาความรู้สึกจะเปลี่ยนไป มีกำลังใจมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่อุปสรรคและปัญหาต่างๆ ยังเหมือนเดิม แต่รู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมา ไม่ใช่ที่กายแต่ที่ใจ ดังนั้นเวลาใจมีปัญหา กายต้องช่วยด้วย ดูแลกายให้ดีเพื่อฉุดใจขึ้นมา ไม่ใช่ไปซ้ำเติม เช่น พอจิตใจท้อแท้ห่อเหี่ยว ก็ไปเที่ยวกลางคืน กินเหล้า เพราะหวังว่าจะทำให้ลืมความทุกข์ หายเศร้า กลับทำให้แย่กว่าเดิม เพราะการใช้ชีวิตแบบนั้นทำให้ร่างกายเหนื่อยอ่อนมากขึ้น จิตใจเลยแย่ลง นี่เรียกว่าฉุดกันลง ไม่ได้ช่วยกันฉุดขึ้นมา

    เพราะฉะนั้นเวลามีปัญหาเราไม่ต้องรอคอยความช่วยเหลือจากใครเลยก็ได้ เพียงแค่กายกับใจช่วยกัน อยู่เคียงคู่กัน กายอยู่ไหน ใจอยู่นั่น มีสติตื่นรู้ อันตรายที่เกิดขึ้นกับกายกับใจก็น้อยลง
    :- https://visalo.org/article/suksala20.htm

     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    เหนือโลก พ้นสมมุติ
    พระไพศาล วิสาโล
    เมื่อขึ้นไปบนที่สูง นอกจากจะได้ความรู้สึกโปร่งโล่งเบาสบายแล้ว ทัศนียภาพหรือมุมมองต่อโลกก็จะเปลี่ยนไปด้วย เวลาเราอยู่บนยอดเขาเราจะเห็นคนที่อยู่ข้างล่าง แต่มองไม่ออกเลยว่าใครเป็นคนรวย ใครเป็นคนจน ใครจบปริญญาเอก ใครจบประถม ใครเป็นชาวพุทธ ใครเป็นชาวคริสต์ ใครเป็นคนไทย ใครเป็นคนพม่า เรียกว่าสมมติที่ติดมากับผู้คนละลายหายไปเลย รู้เพียงแต่ว่าจุดเล็กๆ ข้างล่างเป็นคนเท่านั้นเอง ความเป็นพุทธ เป็นไทย เป็นฝรั่งไม่มีความหมายอีกต่อไป และถ้าอยู่สูงขึ้นไปอีกก็แยกไม่ออกแม้กระทั่งว่าเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ด้วยซ้ำ ยิ่งอยู่สูงขึ้นไป เส้นแบ่งประเทศเราก็จะมองไม่เห็นว่าตรงไหนไทย ตรงไหนพม่า เราจะเห็นผืนแผ่นดินทั่วโลกเป็นผืนเดียวกัน มองไม่เห็นแม้กระทั่งเส้นแบ่งว่าตรงไหนเอเชีย ตรงไหนยุโรป เส้นแบ่งพวกนี้ไม่มีความหมายอีกต่อไป ถึงตรงนั้นเราจะเห็นชัดว่ามันเป็นแค่เส้นสมมุติที่ไม่มีอยู่จริง

    เมื่อเราขึ้นสูงไปเรื่อย ๆ สิ่งที่เราเห็นก็คือความจริงที่หลุดจากสมมติทีละชั้น ๆ จนสมมติเหล่านี้ไร้ความหมายไป ยิ่งถ้าอยู่สูงขึ้นไปจนถึงชั้นบรรยากาศ อย่างนักบินอวกาศ ก็จะพบว่าแท้จริงนั้นโลกทั้งโลกเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีเส้นแบ่ง ไม่มีพรมแดน สิ่งสมมติที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากกัน แบ่งแยกประเทศออกจากกันนั้นเลือนหายไปหมด

    ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากว่าจิตของเราเข้าถึงภาวะที่เป็นโลกุตระ เราก็จะไปพ้นสมมติที่เหนือกว่านั้นขึ้นไปอีก ทุกวันนี้คนเราติดสมมติมาก ไม่ใช่ติดแค่ว่าเป็นพุทธ คริสต์ มุสลิม เป็นไทย พม่า หากยังติดสมมติเรื่องความเป็นคนรวย คนจน คนมีการศึกษา คนไม่มีการศึกษา เกิดการแบ่งชั้นวรรณะ ดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามกัน รวมทั้งการให้ค่ากับสิ่งของต่างๆ เช่นถ้าเป็นเงินทองก็มีค่า ถ้าเป็นก้อนหินก็ไม่มีค่า มนุษย์เราหลงสมมติมาก จนกระทั่งคิดว่าสมมติคือความจริง แต่ถ้าเรายกจิตขึ้นสูง จิตที่เป็นโลกุตระก็จะรู้ว่าสมมตินั้นไม่ใช่ความจริงแท้ มันเป็นแค่สิ่งที่กำหนดขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในบางแง่บางด้านเท่านั้น

    การอยู่เหนือโลกยังหมายถึงการอยู่เหนือโลกธรรม สิ่งที่เรียกว่าโลกธรรมก็คือ ความสำเร็จ ความล้มเหลว ความมียศ ความเสื่อมยศ เหล่านี้เป็นสมมติของโลก คนที่ไม่รู้ก็ถูกสมมติเข้าครอบงำ สุขหรือทุกข์ไปตามอำนาจของโลกธรรม มีลาภ มียศก็ดีใจ พอเสื่อมลาภ เสื่อมยศก็เสียใจ ผู้คนหนีความทุกข์ไม่พ้นเพราะยังติดอยู่ในโลกธรรม ยังติดอยู่ในสมมติ เพราะไปให้ค่ากับมันมาก แต่ถ้าหากว่าเราสามารถยกจิตขึ้นสูง จนกระทั่งเห็นว่าสมมตินั้นเป็นแค่สิ่งที่ใช้เรียกขานกัน เป็นชื่อที่ใช้เรียกหน่วยรวมของสิ่งต่างๆ เป็นตัวตนสมมติที่จิตปรุงแต่งซ้อนทับความเป็นจริง เราก็จะไม่หลงยึดกับสมมตินั้น

    สมมติที่มีอิทธิพลต่อคนเรามากที่สุดก็คือความเป็นตัวเราของเรา เป็นตัวตนที่สร้างขึ้นมาและปล่อยให้มันครอบงำจิตใจเรา คงจะไม่มีสมมติอะไรที่จะมีอิทธิพลผลักไสคนให้ทุกข์ หรือหลงวนอยู่ในวัฏสงสารมากเท่ากับสมมติเรื่องตัวตน เรื่องตัวเราของเรา

    ไม่มีอะไรที่จะมีอิทธิพลต่อจิตใจของคนเรามากไปกว่าความรู้สึกที่เรียกว่า “ตัวกูของกู” เวลาเพื่อนเงินหาย โทรศัพท์หาย เราไม่รู้สึกอะไร เราอาจจะแนะนำเขาด้วยซ้ำว่ามันเป็นของนอกกาย แต่ถ้าเป็นเงินหรือโทรศัพท์ของเรา มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที คนอื่นเขาจะเจ็บป่วยอย่างไร เราไม่ค่อยรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไรเลย แต่เพียงแค่เราปวดฟันปวดหัวเท่านั้นก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเลย ไม่ใช่แค่ตัวเราเท่านั้น อาจจะเป็นลูกหลานของเรา เพียงแค่ประทับตราว่าเป็นของเราเท่านั้น หากอะไรเกิดขึ้นกับเขา ก็สะเทือนไปถึงจิตใจของเราทันที
    มีพยาบาลคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณปี ๒๕๔๐ เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่ราชบุรี รถโดยสารชนกับรถไฟกลางเมือง ตายไปยี่สิบกว่าคน ตอนที่ได้ข่าวนั้นประมาณสี่โมงเย็น เธอนึกในใจด้วยซ้ำว่า ดีเหมือนกัน คนล้นประเทศแล้วตายไปบ้างก็ดี แต่หนึ่งชั่วโมงถัดมา พอรู้ว่าหนึ่งในยี่สิบคนที่ตายนั้นคือหลายชายของเธอ เธอถึงกับเข่าทรุดเลย ทั้งเสียใจทั้งรู้สึกผิดที่ไปคิดอกุศลอย่างนั้น ทำไมตอนที่ได้ฟังครั้งแรกเธอไม่รู้สึกอะไร ก็เพราะเธอคิดว่าคนที่ตายไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรา ไม่ใช่ลูกของเรา ไม่ใช่เพื่อนของเรา แต่พอพบว่าหนึ่งในนั้นเป็นลูกหลานของเรา มันก็ทำให้ทุกข์มาก เห็นไหมว่าความแตกต่างระหว่างความรู้สึกว่าเป็นเราเป็นของเรา กับไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรานั้นมีมากทีเดียว
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)
    คนทุกวันนี้เป็นทุกข์เพราะความสำคัญมั่นหมายนี้มาก นี่ขนาดเกิดขึ้นกับคนอื่น ยังทุกข์ถึงเพียงนี้ ถ้าเกิดขึ้นกับตัวเอง ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นของเราจะทำให้ทุกข์สักเพียงใด อย่างเช่นเวลาเจ็บป่วย แทนที่จะเห็นว่าแค่กายเท่านั้นที่ป่วย คนส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าฉันป่วย ผลก็คือไม่ใช่กายเท่านั้นที่ป่วย ใจก็ป่วยด้วย การไม่เห็นความจริงที่ว่ามันไม่มีตัวเรา มันมีแต่กายกับใจนั้น ทำให้คนทุกข์มาก ทุกข์ในที่นี้หมายถึงทุกข์ใจ ไม่ได้ป่วยแค่กายแต่ป่วยไปถึงใจด้วย แต่เมื่อใดก็ตามที่เห็นว่ามีเพียงแค่กายเท่านั้นที่ป่วย ถ้าเห็นอย่างนี้ ใจก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร
    อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม เคยเล่าให้ฟังว่าตอนที่พิการใหม่ๆ ทุกข์มาก พิการเมื่ออายุยี่สิบสี่ปี ตอนนั้นเป็นครูพละ สอนนักเรียนว่ายน้ำ กระโดดน้ำผิดท่าหัวไปกระแทกกับพื้นสระ ทำให้พิการตั้งแต่คอลงมา ชีวิตหมดอนาคตไปเลย รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ตอนนี้อาจารย์กำพลกำลังเขียนหนังสืออัตชีวประวัติ เพื่อนอาตมาไปสัมภาษณ์แล้วมาเขียน คิดว่าคงจะออกในเร็วๆ นี้ เป็นหนังสือที่น่าสนใจ อาตมาอ่านแล้วสัมผัสได้ถึงความรู้สึกทุกข์ทรมานของอาจารย์กำพลช่วงที่พิการใหม่ ๆ แม้พยายามดิ้นรนหาหมอทุกประเภทก็ไม่ดีขึ้น ทุกข์ทั้งกายและใจ จนกระทั่งรู้แน่ชัดว่ารักษาไม่หายก็ยิ่งทุกข์ขึ้นไปใหญ่ ชีวิตเหมือนกับรอวันตาย เพราะพึ่งพาตัวเองไม่ค่อยได้ ต้องอาศัยพ่อแม่ป้อนข้าว พาเข้าห้องน้ำ ทำอะไรให้ทุกอย่างสารพัด
    หลังจากผ่านไปนานนับสิบปีก็เริ่มหันมาสนใจธรรมะ อ่านหนังสือธรรมะมากขึ้น อ่านแล้วก็สบายใจ แต่พอเลิกอ่านก็ทุกข์อีก ก็เลยสนใจจะปฏิบัติธรรม พอทราบว่ามีแนวปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน ก็เขียนจดหมายไปปรึกษาหลวงพ่อคำเขียน เพราะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อเทียน ขอคำแนะนำว่าตนเองร่างกายพิการจะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร หลวงพ่อคำเขียนก็เขียนจดหมายตอบกลับไปว่า ถ้าเดินจงกรม นั่งสร้างจังหวะไม่ได้ ให้พลิกมือไปมาก็แล้วกัน พลิกมือก็ให้รู้ว่าพลิก ถ้าใจมันคิดก็ให้รู้ทัน ให้รู้ว่าที่พลิกนั้นเป็นรูป ที่คิดนั้นเป็นนาม ปฏิบัติให้เห็นรูปกับนาม การเจริญสติเป็นการถลุงให้เหลือแต่รูปกับนาม หลวงพ่อท่านใช้คำว่า ถลุง คือแยกย่อยจนเหลือแต่รูปกับนาม

     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)
    อาจารย์กำพลก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงพ่อคำเขียน อยู่บนเตียงก็พลิกมือไปมา จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งก็เห็นชัดเลยว่า ที่พลิกไปมาคือรูป ที่คิดนั้นคือนาม เห็นชัดเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่รูปกับนาม พอเห็นปุ๊ปจิตสว่างวาบเลย เห็นชัดเลยว่าที่พิการนั้น มีเพียงกายแต่ใจไม่ได้พิการ หลงคิดอยู่ตั้งนานว่าฉันพิการ พอคิดแบบนี้ก็ท้อ จิตใจก็แย่ รู้สึกทุกข์ แต่พอเห็นความจริงซึ่งแสนจะธรรมดาสามัญว่า จริงๆ แล้วที่พิการคือกายพิการ แต่ใจไม่ได้พิการด้วย อาจารย์กำพลบอกว่าจิตก็ลาออกจากความทุกข์คือลาออกจากความพิการเลย กายยังพิการอยู่ แต่ใจไม่พิการแล้ว ใจสบายและเป็นอิสระ เพราะเห็นความจริงว่า ที่จริงแล้วไม่ใช่ตัวฉันที่พิการ เป็นเพียงกายที่พิการ เป็นเพียงรูปที่พิการ
    การเห็นความจริงว่ามันไม่มีตัวเรา มีแต่รูปกับนาม มีแต่กายกับใจนี้สำคัญมาก มันเป็นการทะลุทะลวงสมมติที่ทำให้เห็นความจริง และทำให้เป็นอิสระจากความทุกข์ที่เกิดกับกาย หากสามารถอยู่เหนือสมมติเรื่องตัวตนได้ ก็ถือว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มาก มีอานิสงส์มาก มันสามารถทำให้เราเจอทุกข์ โดยที่ใจไม่ทุกข์ได้
    มีเรื่องเล่าว่า หลวงปู่บุดดาสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ หลวงปู่บุดดาท่านมรณภาพไป ๒๐ ปีแล้ว ตอนที่มรณภาพอายุ ๑๐๑ ปี ตอนนั้นท่านก็คงประมาณ ๘๐-๙๐ ปี ท่านและหมู่คณะได้รับนิมนต์ไปฉันอาหาร ปรากฏว่าอาหารมีพิษ อาเจียนกันทั้งคณะ อาเจียนกันอย่างรุนแรงมาก พระหนุ่มที่ไปด้วยก็อาเจียนจนหมดแรง นอนหมดสภาพ แต่หลวงปู่บุดดายังสามารถนั่งคุยกับโยมได้ คุยสักพักก็อาเจียนใส่กระโถน แล้วก็นั่งคุยต่อ ท่านบอกว่าอยากจะให้กำลังใจโยม เพราะโยมเสียกำลังใจมาก ตั้งใจจะทำบุญ แต่กลับจะได้บาป ก็พูดให้กำลังใจโยม โยมก็แปลกใจว่าพระหนุ่มๆ อาเจียนจนนอนหมดแรง แต่หลวงปู่บุดดายังคุยกับโยมได้ จึงสงสัยว่าหลวงปู่บุดดาไม่เป็นอะไรหรือ ท่านก็อธิบายให้ฟังว่า “ร่างกายเรานี้มันสักแต่ว่าเท่านั้น ธาตุ ๔ มันถูกยาเมา ยาเบื่อ มันก็แสดงอาการต่าง ๆ นานา ส่วนจิตใจมันไม่ได้ถูก ก็เลยไม่เป็นอะไร เหตุเพราะกายกับใจมันคนละเรื่อง รวมกันไม่ได้” ท่านแสดงให้เห็นชัดเลยว่าที่ทุกข์นั้นกายทุกข์ แต่ใจไม่ได้ทุกข์ด้วย
    อีกคราวหนึ่งท่านไปผ่าตัดนิ่ว ผ่าเสร็จพักใหญ่ท่านก็บอกว่า “ค่อยยังชั่วแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว” หมอและพยาบาลก็แปลกใจเพราะท่านเพิ่งผ่าตัดเสร็จเมื่อสักครู่นี้เอง คนอื่นผ่าตัดน้อยกว่าท่าน ยังแสดงความเจ็บปวดมากกว่า หลวงปู่ทำอย่างไรถึงไม่เจ็บ หลวงปู่บุดดาตอบว่า “ร่างกายของหลวงปู่ก็เหมือนกัน ทำไมมันจะไม่เจ็บ แต่จิตใจต่างหากที่ไม่ได้เจ็บป่วยไปกับร่างกายด้วย” ที่ท่านพูดอย่างนี้ได้เพราะท่านเห็นความจริงว่า มันมีแต่รูปกับนาม มีแต่กายกับใจ ท่านไม่ได้ไปสำคัญมั่นหมายว่ามีตัวเรา มีของเรา คนธรรมดาซึ่งยังหลงอยู่ในสมมติ ก็ยึดมั่นว่ามีตัวกูของกู เวลาปวดจึงรู้สึกว่าฉันปวดๆ ไม่สามารถที่จะแยกออกไปได้ว่าที่ปวดจริงๆ คือกายไม่ใช่ใจ
    หลวงปู่บุดดาเป็นตัวอย่างของคนที่เห็นความจริงขั้นปรมัตถ์ คือจิตของท่านอยู่เหนือสมมติแล้ว โดยเฉพาะสมมติเรื่องตัวตน ท่านรู้ความจริงระดับปรมัตถ์สภาวะว่า แท้จริงแล้วมีแต่รูปกับนามเท่านั้น การที่เราเห็นความจริงอย่างนี้ ถึงแม้เป็นความจริงขั้นพื้นฐาน แต่ก็สำคัญมากที่จะทำให้อยู่เหนือทุกข์ได้ จิตใจก็จะโปร่งโล่งเบาสบาย มีอะไรเกิดขึ้นอันเป็นธรรมดาของสังขาร ไม่ว่าจะเป็นความแก่ ความเจ็บ ความพลัดพราก แต่ใจก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนไปด้วย มีแต่ความสงบเย็นเป็นปกติ

    :- https://visalo.org/article/suksala25.html
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    อย่าปล่อยให้ความหลงครองใจ
    พระไพศาล วิสาโล
    ที่โรงเรียนดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ทุกวันตอนเลิกเรียนรถจะติดมากเพราะเด็กนักเรียนแทบทุกคนมีรถส่วนตัวมารับ นอกจากรถติดแล้ว ยังหาที่จอดรถยาก ผู้ปกครองคนหนึ่งขณะที่รอรถขยับทีละนิดอยู่ภายในโรงเรียน สังเกตว่าขวามือมีที่จอดรถว่าง ตามระเบียบของโรงเรียนรถทุกคันต้องตรงไปข้างหน้าและยูเทิร์นกลับมา ถึงจะจอดรถตรงจุดนั้นได้ แต่ว่าผู้ปกครองคนนี้ แทนที่จะยูเทิร์นเสียก่อนก็หักขวาเลย รถก็เสียบเข้าที่จอดรถซึ่งเป็นจุดเดียวที่เหลืออยู่ เจ้าตัวก็ดีใจ

    แต่มีผู้ปกครองอีกคนเล็งที่จอดรถตรงนั้นไว้เหมือนกัน เขาขับรถตามกติกา ยูเทิร์นเพื่อจะมาจอดรถตรงนี้ แต่กลับถูกแย่งไปต่อหน้าต่อตาอย่างไม่ถูกต้อง เขาก็ไม่พอใจ ลงจากรถมาต่อว่าผู้ปกครองคนแรกซึ่งเป็นนายทหารยศนายพันนายพล นายทหารคนนี้ไม่เคยถูกต่อว่าแบบนี้มาก่อน ก็โกรธและพูดว่า คุณรู้ไหมว่าผมเป็นใคร ผู้ปกครองคนนั้นตอบว่าผมไม่รู้หรอก แต่คุณทำไม่ถูก ทำแบบนี้ใช้ไม่ได้ พูดเสร็จก็เดินกลับไปที่รถของตัว นายทหารถูกต่อว่าก็โกรธจึงหยิบปืนที่เก็บไว้ในรถ แล้วเดินตามหลังผู้ปกครองคนนั้นไป ผู้ปกครองคนนั้นไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะถึงฆาต

    บังเอิญบริเวณนั้น มีพนักงานขับรถของโรงเรียนคนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ เขาเห็นว่าถ้าปล่อยไปต้องเกิดเรื่องแน่ จำเป็นต้องเข้าไปห้าม แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าห้ามไม่ถูก ก็อาจเจ็บตัวได้ มีตัวอย่างเยอะแล้ว ทีนี้ทำอย่างไรถึงจะห้ามไม่ให้เขาไปยิงผู้ปกครองคนนั้น พนักงานคนนี้มีปฏิภาณ เขาเดินไปแตะนายทหารคนนั้นเบา ๆ แล้วพูดว่า “คุณพ่อครับ คุณพ่อมารับลูกไม่ใช่เหรอครับ” เท่านี้แหละ นายทหารคนนั้นซึ่งกำลังโกรธจัดก็ได้สติทันที พอได้สติความโกรธหายไป เท้าชะงัก รู้ตัวเลยว่ากำลังจะทำอะไร ก่อนหน้านั้นไม่รู้ตัว คิดแต่จะไปยิงเขาให้ตาย เพราะตอนนั้นความโกรธครอบงำใจ หน้ามืด พูดง่าย ๆ คือหลงเต็มที่ พอเขาได้สติ รู้ตัวขึ้นมาก็หันหลังกลับไปที่รถ เอาปืนไปเก็บ อันนี้เรียกว่าได้สติเพราะมีคนช่วย คนเราส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ ได้สติเพราะมีคนช่วย แต่ถ้าไม่มีตัวช่วยก็เดือดร้อนไป

    อารมณ์อกุศลทั้งหลายหากครองใจเราเมื่อใดก็สามารถเป็นอันตรายได้ทุกเมื่อ อย่างไรก็ตามอารมณ์เหล่านี้มีจุดอ่อนคือกลัวถูกรู้ถูกเห็นด้วยสติ เพราะเมื่อสติมารู้มาเห็นเมื่อไหร่ มันก็จะอ่อน เหลว และหายไปเลย เหมือนที่ยกตัวอย่างเมื่อสักครู่ นายทหารที่โกรธผู้ปกครองอีกคน เดินตามหลังหมายจะไปยิงให้ตาย แต่พอมีคนมาทัก มีคนมาแตะมือก็ได้สติ พอเขาเห็นความโกรธที่เกิดขึ้น รู้ตัวว่ากำลังโกรธ ความโกรธที่ท่วมท้นใจก็หายไปเลยทันที โดยไม่ต้องไปกดข่มมัน เพราะจุดอ่อนของมันคือการถูกรู้ ถูกเห็นด้วยสติ

    ความโกรธหรืออารมณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้น มันจะกลัวนักหนา กลัวถูกเห็น มันจึงพยายามส่งจิตออกนอก พอส่งจิตออกนอกมันก็ปลอดภัย ไม่มีสติมารู้ทันแล้ว เมื่อจิตถูกส่งออกไปข้างนอก อารมณ์ต่าง ๆ ก็จะลอยนวลต่อไป และเข้ามามีอิทธิพลบงการเราได้มากขึ้น แถมจะเพิ่มอำนาจ ขยายตัวใหญ่ขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเราหมั่นรู้สึกตัวบ่อย ๆ หมั่นดูใจบ่อย ๆ อารมณ์พวกนี้จะคลอนแคลนหรือฝ่อลง ถึงแม้จะไม่หายไปทันทีแต่มันก็จะฝ่อตัว แบบนี้มันยอมไม่ได้ มันจึงพยายามล่อหลอกให้ส่งจิตออกนอก จดจ่อข้างนอกไม่ให้กลับมารู้ทันมัน

    เราต้องพยายามกลับมาตามดู รู้ใจบ่อย ๆ จนเป็นนิสัย อารมณ์ต่าง ๆ เช่นความโกรธจะยึดครองใจได้ยากขึ้น ขอให้สังเกตเวลาที่เราเกิดอารมณ์เศร้าโศก เสียใจ โกรธ จิตจะส่งออกนอกตลอดเวลา หรือไม่ก็ไหลเปิดเปิงไปกับเรื่องราวในอดีต แต่นั่นไม่ใช่อุบายอย่างเดียวของมัน มันพยายามที่จะสรรหาเหตุผลเพื่อมารองรับสนับสนุนอารมณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ใดก็ตาม คนที่ขโมยหรือคอรัปชัน คนเหล่านั้นรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ถูก ไม่ดี แต่เวลาหน้ามืดขึ้นมา ถูกความอยากหรือความหลงครอบงำ แม้จะมีเสียงเตือนในใจว่าไม่ดี ผิดกฎหมาย ผิดศีล แต่ความอยากความหลงก็จะอ้างเหตุผลสารพัด เช่น ไม่เป็นไรหรอก ใคร ๆ เขาก็ทำกัน ไม่มีใครรู้หรอก หรือไม่ก็อ้างว่าจะเอาเงินไปทำบุญ
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)
    หลายคนรู้ว่าเหล้าไม่ดี แต่ความอยากหรือความหลงก็จะให้เหตุผลว่า เฮ้ย นิดเดียวเอง แค่เป๊กเดียวเอง หรือให้เหตุผลว่าเป็นแค่การสังสรรค์ เพื่อนอุตส่าห์ชวนถ้าเราปฏิเสธมันน่าเกลียด มันจะมีเหตุผลมากมายมาสนับสนุนความอยากหรือความหลง

    ความโกรธก็เหมือนกัน เวลาโกรธมันจะมีเหตุผลมาสนับสนุนว่าเราควรโกรธต่อไป พยายามคิดถึงความไม่ดีของเขา รู้สึกว่าเราจำเป็นต้องสั่งสอนมัน เพราะมันชั่ว มันไม่ดี ต้องสั่งสอน ต้องทำให้มันเป็นเยี่ยงอย่าง พวกเราคงเคยดูคลิป “น็อตกราบรถกู” ตอนที่เขาต่อยและตบคนที่ชื่อบอย ซึ่งชนท้ายรถเขาแล้วหนี น็อตก็ตะคอกว่า “หนีทำไม หนีทำไม” พูดทำนองต้องการสั่งสอนว่า ชนแล้วอย่าหนี เขาต้องการสั่งสอนคนที่ชนแล้วหนี ว่ามันน่ารังเกียจ ต้องจัดการให้เป็นเยี่ยงอย่าง ที่พูดอย่างนั้นก็เพราะความโกรธมันต้องการเหตุผลรองรับว่าทำไมต้องโกรธ ทำไมต่อยและตบเขา คนเราไม่ว่าจะด่าหรือเตะต่อย ก็ต้องการหาเหตุผลมาสนับสนุนความโกรธและพฤติกรรมดังกล่าว แม้รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่ก็จะมีเหตุผลมารองรับว่า ถึงตายกูก็ไม่ยอม ต้องจัดการมึงให้ได้

    ความเศร้าก็เหมือนกัน เวลาเศร้าก็จะมีเหตุผลมารองรับว่า ทำไมเราควรเศร้า เช่นถ้าเราไม่เศร้าก็แปลว่าเราไม่รักเขา พ่อแม่ทั้งคนตายไป เราต้องเศร้าสิ ต้องร้องห่มร้องไห้สิ เพราะเดี๋ยวคนเขาจะว่าเราไม่รักพ่อรักแม่ พยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนความเศร้า นี่คือวิธีการที่อารมณ์เหล่านี้หลอกเรา ให้จม ให้ยอมรับ อยู่ในอำนาจของมัน มันจะบงการให้เราเป็นผู้รองรับอารมณ์เหล่านี้ ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ดีแต่เราก็ตกเป็นทาสของมัน

    สุดท้ายเราจึงกลายเป็นองครักษ์พิทักษ์ความโกรธ เป็นองครักษ์พิทักษ์ความเศร้า รวมทั้งเป็นองครักษ์พิทักษ์ความคิด ใครจะคิดต่างจากเราไม่ได้ ต้องจัดการ ต้องด่า ต้องสั่งสอน อันนี้เป็นอุบายของอารมณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้จิตใจย่ำแย่ มันหลอกให้เราเป็นองครักษ์พิทักษ์ตัวมันเอาไว้

    เวลาเราเศร้าพอมีคนมาชวนไปทำโน่นทำนี่ จะได้หายเศร้าเราก็ไม่ยอม เขาชวนไปเที่ยวเราก็ไม่ไป จะเศร้าเจ่าจุกอยู่ที่บ้าน เวลาฟังเพลงก็จะฟังเพลงเศร้า เพลงไหนที่ฟังแล้วทำให้เกิดความกระชุ่มกระชวย เกิดความตื่นตัวก็ไม่ฟัง จะขอฟังแต่เพลงเศร้า ๆ เพื่ออะไร ก็เพื่อให้มันเศร้าหนักขึ้นไปอีก เพราะนี่คือสิ่งที่ความเศร้าต้องการ

    เวลาโกรธถ้ามีคนแนะนำว่าให้อภัยเขาไปเถอะ ความโกรธก็จะสรรหาเหตุผลว่าให้อภัยไม่ได้ บางทีกลับโกรธคนที่แนะนำเสียอีก มีรายหนึ่ง ลูกพยายามขอร้องแม่วัย ๗๐ ว่า อย่าโกรธเขาเลย ให้อภัยเขาไปเถอะ เรื่องผ่านไป ๒๐-๓๐ ปีแล้วจะไปโกรธทำไม ลูกกลัวว่าแม่จะเส้นเลือดในสมองแตก กลัวแม่จะตายแล้วไปอบาย เลยขอร้องให้แม่ให้อภัยเขา แม่กลับโกรธลูก ด่าลูก ราวกับว่าลูกมาแย่งชิงของรักของหวงไปจากแม่

    ความโกรธมันน่าหวงแหนเสียที่ไหน แต่แม่ด่าลูกเพราะอะไร เพราะความโกรธมันสั่ง ความโกรธมันต้องการครอบงำจิตใจของแม่ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ มันเหมือนกับสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งที่ต้องการอยู่รอดให้ได้ มันจะทำทุกอย่างเพื่อให้มันอยู่รอดและแพร่กระจาย ทำนองเดียวกับเชื้อโรคในร่างกาย เวลาเรากินยาปฏิชีวนะ เชื้อโรคก็จะสู้ มันพยายามดื้อยา ทำทุกอย่างเพื่อสู้กับฤทธิ์ยา ทำให้มันอยู่ในร่างกายได้นาน ยิ่งมะเร็งยิ่งแล้วใหญ่ ฉายแสงเข้าไป ฉีดคีโมเข้าไป มันสู้ มันพยายามอยู่ในร่างกายของเราให้นานที่สุด และต้องการแผ่ขยายให้ได้มากที่สุดด้วย

    อารมณ์ก็เช่นเดียวกัน ตัวหลงก็เช่นเดียวกัน มันพยายามทุกทางที่จะครองใจของเรา แต่ว่ามันแพ้ทางสติ มันกลัวถูกรู้ ถูกเห็น นี่เป็นจุดอ่อนที่สำคัญ ดังนั้นเราจึงควรเพียรเจริญสติ หมั่นรู้สึกตัวบ่อย ๆ หมั่นสังเกตความคิด หมั่นมองตนบ่อย ๆ เราจะรู้ทันอารมณ์ได้เร็วขึ้น และไม่เปิดโอกาสให้มันครองใจเรา หรือบงการชีวิตของเราไปตามอำนาจของมัน

    :- https://visalo.org/article/suksala30.html
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    เตรียมใจรับมือความทุกข์
    พระไพศาล วิสาโล

    เราลองถามตัวเองว่าทุกวันนี้เรามีความสุขหรือไม่ ถ้าตอบว่าเรามีความสุข มีชีวิตราบรื่นทั้งส่วนตัวและการงาน ก็ควรถามต่อไปว่า เราแน่ใจหรือไม่ว่าพรุ่งนี้ชีวิตเราจะยังคงราบรื่นเหมือนวันนี้ เราแน่ใจได้อย่างไรว่าวันพรุ่งนี้หรือว่าปีหน้าจะไม่เจอกับความพลัดพราก สูญเสีย ตกงาน หรือว่าเจอความเจ็บป่วย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องภัยพิบัติซึ่งใคร ๆ ก็กำลังวิตก แค่เจอน้ำท่วมซ้ำอย่างปีที่แล้ว หลายคนก็คงคงทำใจรับได้ลำบาก หรือถึงจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้เลย แต่ก็อย่าลืมว่าในที่สุดเราก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ แล้วก็ต้องตาย ซึ่งเป็นความจริงที่เราหนีไม่พ้น

    วันนี้สุขสบาย แต่ว่าพรุ่งนี้ก็อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย หลายคนมีความเข้าใจไปว่าถ้าวันนี้ฉันมีความสุขแล้ว พรุ่งนี้ฉันก็จะมีความสุขเหมือนวันนี้หรือเหมือนเมื่อวาน อันนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด จัดว่าเป็นความประมาทอย่างหนึ่ง เหมือนกับเมื่อสิบปีก่อนมีคนทำนายว่าเมืองไทยจะเกิดสึนามิ หลายคนได้ยินก็หัวเราะ เย้ยหยันว่าเป็นไปไม่ได้หรอกเพราะเมืองไทยไม่เคยเกิดสึนามิ ถ้าเมืองไทยไม่เคยเกิดสึนามิก็ไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้จะไม่เกิด แล้วในที่สุดมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ อะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เราอย่าไปคิดว่าพรุ่งนี้มันจะไม่เกิด

    ชีวิตเราก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะมีชีวิตที่ราบรื่นตั้งแต่เล็กจนโต เรียนก็ราบรื่น ทำงานก็ราบรื่นมาโดยตลอด จนกระทั่งมีครอบครัว มีลูก แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรือในวันข้างหน้าเราจะไม่เจอวิกฤต แล้วถ้าเกิดวิกฤตขึ้นมาเราจะทำอย่างไร มีหลายคนที่พบว่าชีวิตตัวเองราบรื่นมาตลอด ได้งานที่ดี ได้ครอบครัวที่ดี แต่แล้วจู่ ๆ ก็พบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ปรากฏว่าทำใจไม่ได้ ตีโพยตีพายหรือตัดพ้อขึ้นมาว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน” บางคนลำเลิกว่า “ฉันทำความดีมา ทานก็ทำ ศีลก็รักษา เข้าวัดเป็นประจำ แล้วทำไมถึงเป็นมะเร็ง” คือไปคิดว่าถ้าทำความดี ให้ทาน รักษาศีลแล้วจะไม่ป่วย ลึก ๆ ก็อาจจะคิดว่าไม่ตายด้วย ซึ่งมันเป็นความหลง มันเป็นความเขลา แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังป่วยเป็นมะเร็งได้ แล้วปุถุชนอย่างเรา วิเศษมาจากไหน ทำไมถึงคิดว่าจะเจ็บป่วยไม่ได้

    ถ้าว่าเราไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้เราจะสุขเหมือนวันนี้ แล้วเราจะทำอย่างไร ส่วนหนึ่งก็ต้องเตรียมตัวป้องกันด้วยการดูแลสุขภาพให้ดี กินอาหารให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เจ็บไม่ให้ป่วย หรือไม่ก็อาจจะเก็บเงินทำประกันภัย เผื่อว่าเจ็บป่วยแล้วจะได้ไม่เดือดร้อนมาก นั่นเป็นเรื่องของการเตรียมตัว แต่ว่าต้องเตรียมใจด้วย เพราะถึงแม้เราจะดูแลสุขภาพดี ออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารชีวจิต กินอาหารธรรมชาติ หลีกเลี่ยงสารพิษ ดีท็อกซ์เป็นประจำ แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่หลักประกันว่าเราจะไม่เจ็บไม่ป่วย ถ้าเกิดว่ามีการเจ็บป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร อันนี้เราต้องอาศัยการทำใจหรือฝึกใจไว้รับมือกับเหตุร้ายด้วย

    ทีนี้เราก็ต้องถามตัวเองว่าเคยฝึกใจเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุร้ายเหล่านี้หรือยัง สมมติว่าไม่ป่วยเลย ชีวิตนี้ราบรื่นตลอด ในอนาคตก็ไม่ป่วย แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่เจอความพลัดพรากสูญเสีย เรามีอายุยืน แต่ว่าคนที่เรารัก ไม่ว่าลูก เมีย สามี พ่อ แม่ เขาอาจไม่ได้อายุยืนตามเราด้วย บางคนก็อายุสั้น แต่ไม่ว่าอายุสั้นหรืออายุยืน ก็ต้องตายทั้งนั้น และหากเขาตายก่อนเรา เราจะทำใจอย่างไร เราไม่สามารถที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายแบบนี้ขึ้นได้ ๑๐๐ เปอร์เซนต์ อย่างมากก็ป้องกันได้แค่ ๙๐ เปอร์เซนต์ ที่เหลืออีก ๑๐ เปอร์เซนต์ไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะป้องกันหรือควบคุมได้ แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจะทำอย่างไร เราจะเศร้าโศกเสียใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่หรือไม่ เหมือนกับคนที่มีชีวิตราบรื่น แต่พอเป็นมะเร็งก็ทำใจไม่ได้

    เมื่ออาทิตย์ที่แล้วไปเยี่ยมคนป่วยที่เป็นมะเร็ง แกพูดอย่างเดียวว่าอยากตาย อยากตาย ไม่อยากอยู่แล้วเพราะว่ามันเจ็บ มันปวด มันทรมาน ก่อนหน้านั้นก็เคยมีคนป่วยมาปรึกษากับอาตมาทางโทรศัพท์ เขาพูดว่าอยากตาย ไม่อยากอยู่ ทั้ง ๆ ที่ชีวิตก็ดูเหมือนจะราบรื่น ทำงานสถานทูต งานการก็ก้าวหน้าดี ครอบครัวก็ดี แต่พอมาเจอมะเร็งก็ไม่อยากอยู่แล้ว ขอตายดีกว่า อันนี้เป็นตัวอย่างของคนซึ่งคิดว่าวันนี้สุขแล้วพรุ่งนี้ก็จะสุขด้วย ก็เลยไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับเหตุร้ายเลย

    คนเหล่านี้อาจเคยถูกชวนให้มาปฏิบัติธรรม เขาก็คงก็ให้เหตุผลคล้าย ๆ กันว่าจะปฏิบัติทำไม เพราะว่าฉันไม่ได้ทุกข์อะไร ฉันก็มีความสุขดีอยู่แล้ว คนที่พูดแบบนี้เรียกได้ว่าประมาท เพราะคิดว่าพรุ่งนี้ก็จะมีความสุขเหมือนวันนี้ จะไม่มีความทุกข์ใด ๆ มาแผ้วพาน ครั้นเจอความทุกข์เข้า ไม่ว่า ความเจ็บป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย ไม่ต้องสูญเสียคนรักหรอก แค่ถูกน้ำกวาดเอาทรัพย์สมบัติไป เอารถไป ก็อยากจะตายแล้ว อย่างนี้ก็มี นี่ก็เพราะความประมาท ไปคิดว่าชีวิตจะราบรื่นไปได้ตลอด
    แต่ถ้าใครก็ตามที่ตระหนักว่าวันนี้สุขแต่พรุ่งนี้อาจจะทุกข์ก็ได้ เขาจะไม่ปฏิเสธหรือไม่มองข้ามเรื่องการเตรียมใจ แล้วจะเตรียมใจให้ดีได้อย่างไร วิธีหนึ่งก็คือการปฏิบัติธรรมนั่นเอง
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)
    ปฏิบัติธรรมไม่ใช่เป็นเรื่องของพิธีรีตอง แต่เป็นเรื่องของการฝึกใจเพื่อให้เราสามารถมีจิตใจปกติ มั่นคง ไม่หวั่นไหวไปในยามที่มีสิ่งกระทบ มีเหตุร้ายมากระหน่ำย่ำยีอย่างไรก็ใจไม่ทุกข์ ถึงแม้ว่าจะเสียทรัพย์ หรือถึงแม้กายจะเจ็บป่วย แต่ว่าไม่กระเทือนไปถึงใจ เพราะว่าจิตใจมีธรรมะเป็นเครื่องรักษา การปฏิบัติธรรมนั้นทำให้เราสามารถอยู่ได้อย่างเป็นปกติสุขในทางจิตใจ ถึงแม้ว่าชีวิตจะไม่ราบรื่น อาจมีความวุ่นวายหรือไม่สมหวังเกิดขึ้นก็ตาม

    ที่จริงแล้วธรรมะไม่ได้ช่วยเพียงแค่ในยามที่เราทุกข์เท่านั้น ในยามสุขธรรมะก็ช่วยให้เราสามารถเป็นสุขได้ทั้งกายและใจด้วย คนจำนวนไม่น้อยสุขกายก็จริง แต่ใจทุกข์ ถึงแม้ว่าการงานจะราบรื่น แต่ว่าความทุกข์ในจิตใจก็เกิดขึ้นอยู่เสมอ บางทีก็กินไม่ได้นอนไม่หลับกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ

    มีพยาบาลคนมาปรึกษาว่า วันหนึ่งเห็นประกาศเกี่ยวกับการดูงานในสถานที่หนึ่ง เธอเห็นแล้วชอบเลยสมัครไปดูงานที่นั่น หัวหน้าก็อนุญาต มีคำสั่งออกมาแล้ว เธอดีใจ ก็เลยเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนฟังแล้วก็อยากไปด้วย แล้วจะทำอย่างไร ก็เลยไปคุยกับหัวหน้า พอถึงวันเดินทาง หัวหน้าก็โทรศัพท์มาบอกว่าไม่ต้องไปแล้ว ให้เพื่อนคนนั้นไปแทน เธอก็เสียใจมาก ทั้งโกรธหัวหน้า ทั้งแค้นใจเพื่อน พวกเราก็คงเคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้ ที่จริงก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตเพราะไม่ได้ทำให้ชีวิตกระทบกระเทือนอะไรเลย แต่พอมีเหตุการณ์ที่ว่านี้เกิดขึ้น เธอก็โกรธหัวหน้าและเพื่อนจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เธอจึงมาปรึกษาอาตมาว่าจะทำอย่างไรดี นี่ขนาดไม่ได้เจอเหตุร้ายประเภทที่ว่าเป็นมะเร็งหรือว่าพลัดพรากสูญเสียคนรัก แค่เจอเรื่องทำนองนี้ก็ซวนเซจนเกือบจะเสียศูนย์

    อาตมาก็แนะนำไปว่าการที่เราไม่ได้ไปในที่ที่เราชอบก็ถือว่าเสียไปหนึ่งอย่างแล้ว คือเสียโอกาส ถ้าจะเสียก็ขอให้เสียแค่นี้ แต่ถ้าเราเสียใจด้วย ก็เท่ากับว่าเรากำลังปล่อยให้ตัวเองสูญเสียสองอย่าง ไหน ๆ จะเสียก็ขอให้เสียอย่างเดียวก็พอ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมเสียอย่างเดียว จะเสียสองอย่างคือเสียโอกาสที่ไม่ได้ไปดูงาน และเสียใจหรือเสียความสุขด้วย

    เสียโอกาสที่ไม่ได้ไปดูงานนั้นเป็นเพราะเพื่อนและหัวหน้า แต่ว่าความสุขที่เสียไปจากเหตุการณ์นี้ ใครทำให้ ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ตัวเรานั่นแหละ ทำนองเดียวกันเวลามีคนขโมยเงินเราไป เขาก็ขโมยได้แต่เงิน เขาไม่สามารถขโมยความสุขจากเรา หรือยัดเยียดความทุกข์ให้แก่เราได้ มีสิ่งเดียวที่จะขโมยความสุขไปจากเราก็คือใจที่ยึดมั่นถือมั่นและยังหวงยังแหนสิ่งของนั้น เป็นเพราะยังยึดมั่นอยู่ ก็เลยไม่ใช่แค่เสียของอย่างเดียว แต่เสียใจด้วย แทนที่จะเสียอย่างเดียวก็เสียสองอย่าง เสียอย่างแรกคือเสียทรัพย์สมบัตินั้นคนอื่นทำ แต่เสียใจและเสียความสุขนั้นไม่ใช่ใครทำ เราทำเอง เป็นเพราะใจที่วางไว้ไม่ถูก วางไว้ไม่เป็น

    คนเราส่วนมากทุกข์เพราะใจของตนเอง แม้แต่เวลาเจ็บป่วย เช่น โรคมะเร็งก็ดี มันทำได้อย่างมากก็คือบั่นทอนร่างกายของเรา ทำให้หมดเรี่ยวหมดแรง อาจจะทำให้กินไม่ค่อยได้ แต่ว่าความทุกข์ใจที่เกิดขึ้นนั้นมะเร็งไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ ความทุกข์ใจเกิดขึ้นจากใจของเราเอง เวลามีคนมาวิจารณ์เรา นินทาเรา มาพูดให้ร้ายเรา เขาก็ทำได้แค่นั้น แต่ก็ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้ แต่ถ้าเราทุกข์มันไม่ใช่ใครทำ เป็นเพราะใจของเราที่ไปเก็บเอาคำพูดของเขามาทิ่มแทงตัวเองต่างหาก

    ทุกวันนี้เราซ้ำเติมตัวเองอยู่เป็นอาจิณ อย่างคนที่มาปรึกษาอาตมาว่าถูกเพื่อนแย่งที่ไปดูงาน เธอก็ซ้ำเติมตัวเองด้วยการเอาความทุกข์มาเผาลนจิตใจ เอาความโกรธมาเผาลนจิตใจ ซ้ำเติมตัวเอง เวลาเสียของ เสียเงิน ก็ซ้ำเติมตัวเองด้วยการหมกจมอยู่กับความเสียใจหรือคับแค้นใจ คนอื่นเขาเอาเงินเราไปแล้วเราก็ซ้ำเติมตัวเองด้วยการหมกมุ่นครุ่นคิด ไม่รู้จักปล่อย ไม่รู้จักวาง จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะความเสียดาย เพราะความเสียใจ
    ป่วยกายแทนที่จะป่วยแต่กาย ก็ป่วยใจด้วย เป็นการซ้ำเติมตัวเองเช่นกัน นี้เป็นเพราะใจไม่ได้รับการฝึกฝน ถ้าใจได้รับการฝึกฝนก็จะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้มาซ้ำเติมหรือย่ำยีบีฑาจิตใจได้ ใจที่ฝึกไว้ดีแล้วจะไม่ซ้ำเติมตัวเอง จะไม่หาความทุกข์มาใส่ตัว แต่จะหาทางออกจากทุกข์

    ความสุขที่จริงแล้วมีอยู่กับตัวเราอยู่แล้ว แต่ที่เสียไปนั้นไม่ใช่เพราะสิ่งภายนอก แต่ว่าเพราะใจของเราคอยบั่นทอนเบียดเบียนความสุขให้เหลือน้อยลงต่างหาก

    :-https://visalo.org/article/suksala19.htm
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    สยบเจ้าตัวร้าย
    พระไพศาล วิสาโล

    มานะหรือความถือตัวตนนั้นเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นที่มาแห่งความทุกข์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น มานะทำให้เราอิจฉาคนที่เก่งกว่า และทนฟังคำวิจารณ์ไม่ได้ แม้เพียงแค่ถูกตักเตือนท้วงติงก็โกรธ โดยเฉพาะจากคนที่มีอายุน้อยกว่า สถานะต่ำกว่า หรือเป็นลูกน้อง มานะทำให้ข้าราชการระดับสูงหลายคนไม่พอใจเวลาถูกตรวจบัตรผ่านประตู หรือไม่มีคนมาแห่แหนต้อนรับ แต่ถึงจะเป็นคนธรรมดาสามัญก็เป็นทุกข์เพราะมานะเช่นเดียวกัน เช่น โมโหที่ลูกไม่เชื่อฟัง

    มานะนั้นมีประโยชน์ เช่น อาจผลักดันให้เกิดความขยัน (หลายคนจึงตั้งชื่อลูกว่า “มานะ” เพราะคิดว่ามานะแปลว่าพยายาม) แต่มีโทษมากกว่า ดังนั้นในขณะที่เราควรรู้จักใช้มานะให้เป็นประโยชน์ ก็ควรพยายามลดละมานะให้เบาบาง ซึ่งทำได้หลายวิธี


    ฉบับที่แล้วได้พูดถึงสิ่งที่ช่วยลดละมานะ ๓ ประการได้แก่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การมองเห็นข้อดีของคำวิจารณ์ การเห็นแก่ผู้อื่น ฉบับนี้จะพูดถึงวิธีลดมานะเพิ่มเติมอีก ๓ ประการ

    ๑. ทำสิ่งที่ฝืนตัวตน

    เราจะลดมานะได้ก็ต้องกล้าขัดขืนมานะบ่อย ๆ ไม่ยอมทำตามใจมันอยู่ร่ำไป นั่นก็คือทำสิ่งที่ฝืนมานะหรือ มีเพื่อนคนหนึ่งเป็นนักเขียนมีชื่อเสียงมาก เมื่อใดก็ตามที่เธอรู้สึกว่าอีโก้ฉันมากแล้วนะ อย่างหนึ่งที่เธอชอบทำก็คือ ไปเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารของเพื่อน การที่ต้องบริการรับใช้คนอื่น ทำตามความต้องการของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสวนทางกับมานะ แต่การทำเช่นนั้นบ่อย ๆ ช่วยให้มานะลดน้อยลง ยิ่งเจอคนตำหนิ เจอคนต่อว่า ก็ยิ่งช่วยลดตัวตนได้มาก

    อัตตาหรือมานะต้องการประกาศความเหนือกว่าความโดดเด่นกว่าคนอื่น แต่การทำสิ่งที่สวนกระแสของกิเลส ก็สามารถช่วยลดกิเลสลดกิเลสได้ กิเลสต้องการอะไรเราก็ทำตรงข้าม กิเลสต้องการเป็นใหญ่ เราก็ทำตัวให้เล็กลง อย่าไปทำตามใจมันทั้งหมด รวมถึงการไม่อวดเก่ง มานะชอบอวดเก่ง และบางทีเราก็มีความเก่งที่อยากอวดแต่ลองฝืนความอยากที่จะอวดเก่งบ้าง

    มีคราวหนึ่งอาจารย์เซนท่านหนึ่งพาลูกศิษย์ไปธุดงค์ในป่า อาจารย์มีชื่อเสียงมาก ใครๆ ก็ลือกันว่าท่านเป็นผู้ที่มีภูมิธรรมขั้นสูง ขณะที่กำลังธุดงค์ก็เจอเสือตัวใหญ่ ลูกศิษย์จึงวิ่ง อาจารย์ก็วิ่งด้วย ลูกศิษย์เห็นอาจารย์วิ่งหนีเสือก็ผิดหวังและกังขาอยู่ในใจว่าทำไมอาจารย์ปอดกลัวอย่างนั้น ต่อมาอีกหลายปีอาจารย์ป่วยหนัก เมื่อถึงตอนอาจารย์ใกล้มรณภาพ อาจารย์ถามว่า ใครมีอะไรสงสัยก็ขอให้ถามเพราะเวลามีน้อย ลูกศิษย์คนหนึ่งจึงถามว่าวันนั้นอาจารย์เจอเสือ ทำไมอาจารย์ถึงวิ่งหนีเสือ อาจารย์กลัวตายหรือ อาจารย์ตอบว่า “ไม่ได้กลัวหรอก แต่ที่วิ่งหนีเพราะคิดว่า หนีเสือดีกว่าเจอความลำพองใจ”

    ที่จริงอาจารย์ไม่กลัวตาย จะไม่หนีเสือก็ได้ แต่ก็รู้ว่าหากไม่วิ่งหนีเสือ ก็จะเกิดความรู้สึกว่า กูแน่ ไปไหนใคร ๆ ก็จะชมว่า อาจารย์เก่ง ไม่วิ่งหนีเสือเลย ในที่สุดก็จะเกิดความลำพองใจว่ากูแน่ อาจารย์เห็นว่าสิ่งนี้อันตรายกว่าเสือ ดังนั้นสิ่งที่อาจารย์ทำคือวิ่งหนีเสือ อันนี้เรียกว่าเป็นการฝืนอัตตา ทวนกระแสกิเลส แม้จะทำให้ภาพลักษณ์ดูไม่ดี ไม่สมกับเป็นครูบาอาจารย์ที่ใคร ๆ นับถือแต่บางทีเราก็ต้องกล้าทำสิ่งที่ทำลายภาพลักษณ์ตัวเองบ้าง เพื่อไม่ให้มานะฟูฟ่อง

    ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านมีชื่อเสียงมากในเรื่องการทำให้คนเข้าใจท่านผิด เพราะไม่ต้องการให้ใครมายึดติดท่าน อาจารย์โกวิท เขมานันทะ มีเรื่องเล่าว่าอาจารย์พุทธทาสทำหลายสิ่งที่ไม่คิดว่าท่านจะทำเพื่อไม่ให้ลูกศิษย์ยึดติดในตัวท่าน บางทีเราต้องทำสิ่งเหล่านี้บ้าง อย่าไปอวดเก่งตลอดเวลาทั้งๆ ที่เรามีเก่งจะอวดก็ตาม ทำตัวง่ายๆ ทำตัวเป็นคนไม่เก่งบ้าง มันเป็นการลดละขัดเกลาตัวตน และอย่างที่อาตมาบอกไว้ว่า ตราบใดที่เรายังลดละมานะไม่ได้ ก็ต้องใช้ให้เป็น ใช้เพื่อส่งเสริมการทำความดี เพื่อส่งเสริมความเสียสละ เพื่อไม่ให้เราย่อท้อต่อความยากลำบาก คำว่ามานะพยายามนั้น บางครั้งก็จำเป็นโดยเฉพาะเวลาที่เราพยายามทำความดี แต่ถ้าเราทำดีโดยไม่ต้องอาศัยตัวมานะ หรืออัตตาเป็นตัวขับเคลื่อนก็ยิ่งดี

     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)

    ๒. รู้เท่าทันสมมุติ


    อีกอย่างที่อาตมาคิดว่าสำคัญมากนั่นคือการรู้เท่าทันสมมุติ อันนี้ก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนต้นว่า อะไรที่ทำให้มานะนั้นเจริญงอกงาม สิ่งที่ทำให้คนเราเกิดมานะหรืออัตตามากขึ้นนั้นมีอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่น ปริญญาบัตรหรือความรู้ คนเราพอเรียนสูงๆ แล้ว มักจะดูถูกคนอื่นได้ง่าย ถ้าจบมัธยมก็จะดูถูกพ่อแม่หรือคนที่ไม่จบมัธยม ถ้าจบปริญญาตรี ก็ดูถูกคนจบม. ๓ ส่วนคนที่จบปริญญาเอก ก็ดูถูกคนที่จบปริญญาตรี เพราะเดี๋ยวนี้คนเราคลั่งไคล้ไหลหลงกับปริญญาบัตรมาก เรายึดติดกับเปลือกนอกมากกว่าเนื้อหาสาระ เลยสำคัญผิดไปว่าปริญญาบัตรทำให้เราสูงกว่าคนอื่น ทำให้เกิดมานะ ฉะนั้นใครที่มีการศึกษาน้อยกว่าจะมาสอนฉันได้อย่างไร

    สถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจก็ทำให้เราเกิดมานะมากขึ้น เช่น คิดว่าถ้าฉันเป็นเจ้านาย ฉันจะทำอย่างไรกับคนใช้ก็ได้ จะปฏิบัติอย่างไรกับพี่เลี้ยงเด็กก็ได้ ทำไมเราจึงปฏิบัติกับเขาอย่างนั้น ก็เพราะเราหลงยึดติดกับสถานภาพว่าฉันเป็นเจ้านาย เขาเป็นคนใช้ จึงเกิดความถือตัวถือตน มานะฟูฟ่อง ทำไมต้องให้พี่เลี้ยงหรือคนงานคลานเข้ามาหาฉัน นั่นเพราะฉันมีสถานภาพสูงกว่า ถ้าเราเป็นเจ้านาย ผู้จัดการ หัวหน้ากอง หรืออธิบดี เราจะปฏิบัติกับคนรถอย่างไร ถ้าเป็นเศรษฐี เราปฏิบัติต่อคนยากคนจนอย่างไร ปฏิบัติกับเขาอย่างเท่าเทียมกับเราหรือไม่ ทั้งหมดนี้มันเกี่ยวกับสถานภาพ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องสมมติหรือหัวโขนทั้งนั้น

    อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างมานะหรืออัตตาขึ้นมา ได้แก่ ตำแหน่ง หรือ ยศถาบรรดาศักดิ์ รวมทั้งสมณศักดิ์ด้วย มีพระรูปหนึ่งเล่าให้ฟังว่า คราวหนึ่งเจ้าคณะจังหวัดมาที่วัดของท่าน แต่ท่านไม่รู้จักเจ้าคณะจังหวัด ท่านจึงต้อนรับอย่างพระอาคันตุกะธรรมดา ท่านเจ้าคณะจังหวัดไม่พอใจ ถามว่า เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ที่ท่านไม่พอใจก็เพราะท่านยึดติดกับยศถาบรรดาศักดิ์ ซึ่งก็เป็นสมมติอีกประเภทหนึ่ง

    ชนชั้นวรรณะก็เช่นเดียวกัน ในเมืองไทยอาจจะไม่มากเท่าไหร่ แต่ในอินเดีย วรรณะกษัตริย์และวรรณะพราหมณ์จะปฏิบัติต่อวรรณะอื่นต่ำกว่า แต่ในเมืองไทย เราจะถือเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์มากกว่า เราเป็นคนไทยแล้วเราคิดอย่างไรกับคนลาวคนเขมรหรือพม่า เวลาเจอฝรั่งเราปฏิบัติกับเขาอย่างเดียวกับคนม้งหรือชาวเลหรือไม่

    ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่า สมมุติ มันสามารถทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็น somebody หรือ nobody ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นสมมติอะไร แต่ในความเป็นจริงก็คือว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่สิ่งที่เราให้ค่ากันเอง แต่ไม่ใช่ความจริงแท้ มันไม่จีรังยั่งยืน มีขึ้นมีลง ถ้าเราไปยึดติดกับมันเมื่อไหร่เราก็จะรู้สึกหลงตัวลืมตน อัตตาหรือมานะก็จะออกมาเพ่นพ่านได้ง่าย เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่อยากทุกข์หรือเสียผู้เสียคนเราก็ต้องรู้เท่าทันสมมติเหล่านี้ด้วย ถ้าเรารู้ทันสมมติเมื่อไหร่เราจะไม่ทุกข์ เราต้องรู้จักหัวเราะเยาะสมมติเหล่านี้ อย่าไปยึดติดถือมั่นกับมันมาก

    มีผู้ว่าฯ คนหนึ่งของจังหวัดใหญ่ มีบริษัทบริวารห้อมล้อมมากมาย แล้ววันหนึ่งต้องเกษียณอายุราชการกลับมาเป็นประชาชนเต็มขั้น ชีวิตก็เหงาหงอย ไม่มีใครมาเยี่ยม ไม่มีใครมาพินอบพิเทา วันหนึ่งได้รับเชิญไปงานที่จังหวัดที่ตัวเองเคยเป็นผู้ว่าฯ ก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที เฝ้ารอวันนั้นเมื่อไหร่จะมาถึง เมื่อวันนั้นมาถึง ก็เข้าไปร่วมงานด้วยความรู้สึกแช่มชื่น แต่ปรากฏว่า บริษัทบริวารที่เคยห้อมล้อมไม่สนใจตัวเองเลย ไปพินอบพิเทาผู้ว่าฯ คนใหม่ คหบดีร้านค้าก็ไม่มาโค้งคำนับเหมือนก่อน แกคาดไม่ถึงว่าจะเจอแบบนี้ ผิดหวัง อกหัก หลังจากนั้นอีกไม่นานก็เสียชีวิต เพราะทำใจไม่ได้ ที่ตัวเองเคยเป็นใหญ่แล้วกลายมาเป็นคนธรรมดา

    อัตตาที่ฟูฟ่องทำให้เรามีความสุข แต่ถ้าแฟบแล้วมันทำร้ายเราได้ ยศถาบรรดาศักดิ์ก็ทำให้เราฟูแต่ก็ทำให้เราทุกข์ได้ ถ้าเราไม่รู้เท่าทัน ถ้าเราไปยึดติดมันไว้ อาตมาคิดว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่ควรรู้เท่าทันด้วย

    ๓.ทำงานด้วยจิตว่าง

    ท่านอาจารย์พุทธทาสสอนว่าให้ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง จิตว่างในที่นี้คือว่างจากความยึดติดในตัวกู ว่างจากตัวมานะ ปุถุชนสามารถว่างจากตัวมานะได้เป็นพักๆ ไม่ได้ตลอด แต่ถ้ามีสติก็จะว่างจากมานะ หรือความยึดติดในตัวตนได้มากขึ้น และถ้าว่างจากมานะเมื่อไหร่ ปัญญาหรือเมตตากรุณาก็ขึ้นมามีบทบาทแทน เราควรพยายามใช้ปัญญาและเมตตากรุณาเป็นตัวขับเคลื่อนเสมอ เราจะทำอะไรก็ตามก็ไม่ใช่เพราะคิดว่านี่เป็นของเราเท่านั้น ถึงไม่ใช่ของเรา หรือเราไม่ได้ประโยชน์ก็ควรทำ หากว่ามันเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

    ที่วัดป่าสุคะโต อาตมามักขอร้องให้พระช่วยกันดูแลรักษาป่า คราวหนึ่งมีคนมาลักลอบตัดสมุนไพร อาตมาจึงขอร้องให้พระทุกรูปช่วยกันไปตรวจป่า หากคนที่มาลักตัดสมุนไพรเห็นพระก็จะหนีออกไป พระรูปหนึ่งท่านไม่ยอมไป ท่านบอกว่าท่านปล่อยวางแล้ว นี่เป็นตัวอย่างของการปล่อยวางอย่างไม่ถูกต้อง ปล่อยวางนั้นดีแล้ว ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่านี่เป็นป่าของฉันก็ดีแล้ว แต่อย่าลืมเรามีหน้าที่ที่จะต้องตอบแทนบุญคุณของป่า รวมทั้งควรมีน้ำใจช่วยเหลือธรรมชาติด้วย เหตุผลที่เรารักษาป่าไม่ใช่เพราะป่าเป็นของเรา ถึงแม้ป่านี้ไม่ใช่ของเรา เราก็ควรใส่ใจดูแลรักษา เพราะป่ามีบุญคุณแก่เรา เราก็ต้องตอบแทนบุญคุณป่า ขณะเดียวกันก็ทำเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ เพราะเขาต้องอาศัยป่า นี่เรียกว่าทำด้วยเมตตากรุณาและด้วยความกตัญญู ไม่ใช่เพราะมันเป็นของเรา

    อะไรที่ไม่ใช่ของเรา ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะปล่อยปละละเลย ไม่สนใจดูแลรักษา สมมติว่าคุณยืมโทรศัพท์มือถือของคนอื่นมาใช้ มันไม่ใช่ของคุณใช่ไหม ฉะนั้นคุณจะทำอะไรกับมันก็ได้ใช่ไหม คำตอบคือไม่ได้ คุณมีหน้าที่ดูแลโทรศัพท์เครื่องนั้นให้ดี และคืนให้กับเจ้าของในสภาพเดิม ในทำนองเดียวกัน ป่าไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรา นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเราจะใช้มันอย่างไรก็ได้ เราต้องดูแล และที่เราดูแลไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นของเรา แต่เป็นเพราะว่ามันเป็นประโยชน์ เกื้อกูลต่อผู้อื่น นี่เรียกว่าเป็นการทำด้วยอำนาจของปัญญาและกรุณา ทำงานด้วยจิตว่างมีความหมายอย่างนี้คือ ทำโดยไม่ยึดติดถือมั่นว่างานนี้เป็นของเรา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปล่อยปละละเลย แต่ทำด้วยความรับผิดชอบ โดยมีปัญญาและกรุณาเป็นพลังขับเคลื่อน เราควรทดลองทำด้วยกุศลธรรมดังกล่าวบ่อย ๆ ไม่ใช่ทำเพราะอำนาจของตัณหา มานะ ทิฏฐิหรือทำด้วยความยึดมั่นในตัวกูของกู ถ้าเราปลุกกุศลธรรมให้เป็นแรงขับเคลื่อนแทนตัณหา มานะ อยู่บ่อย ๆ ต่อไปกุศลธรรมเหล่านั้นจะกลายเป็นแรงจูงใจหลัก และทำให้ตัณหา มานะ ทิฏฐิลดลงไปเรื่อยๆ เราก็จะมีความสุข เราจะทำอะไรเราก็มีความสุข ใครด่าเราก็ไม่ทุกข์

    หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำยายปริก ที่เกาะสีชัง ท่านเพิ่งมรณภาพไปเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ตอนที่ท่านบุกเบิกสร้างวัดใหม่ๆ มีนักเลงท้องถิ่นชอบมารังควานท่าน เพราะอยากครอบครองที่ดินของวัด บางทีก็ด่าท่านแรง ๆ บางทีก็แกล้งจนท่านล้มขณะบิณฑบาต แต่ท่านนึกถึงญาติโยมจึงไม่ยอมหนี วันหนึ่งท่านเดินผ่านบ้านนักเลงคนหนึ่ง เขาจึงยืนด่าท่านด้วยถ้อยคำหยาบคาย แทนที่ท่านจะโกรธหรือแกล้งไม่ได้ยิน ท่านกลับเดินเข้าไปหาเขาแล้วจับมือ พร้อมกับถามว่า “มึงด่าใคร” ชายคนนั้นตอบว่า “ด่ามึงไงล่ะ” ท่านจึงตอบว่า “แล้วไป ที่แท้ก็ด่ามึง ดีแล้ว อย่าด่ากูก็แล้วกัน” ว่าแล้วท่านก็เดินจากไป ปล่อยให้นักเลงคนนั้นยืนงงอยู่พักใหญ่

    :- https://visalo.org/article/suksala17.htm
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    วันเกิด กับ วันตาย !!!
    วันเกิด คือ วันที่จิตปฏิสนธิเข้าสู่ร่างกายอันนี้ เป็นวันที่ร่างกายนี้เกิด ซึ่งไม่มีใครรู้ได้ว่า เป็นวันไหนแน่ ส่วนจิตก็ไม่ได้เกิด เพราะจิตมีมาก่อนนานแล้ว ส่วนวันที่คลอดออกจากท้องแม่นั้น เป็นเพียงการเคลื่อนย้ายที่อยู่เท่านั้นเอง ไม่ใช่วันเกิดจริงๆอย่างที่คนเราเข้าใจ เพราะร่างกายมันเกิดมาแต่ในท้องก่อนแล้วตั้ง 9 เดือน 10 เดือน จะบอกว่าเป็นวันลืมตาดูโลกก็ไม่ใช่อีก เพราะเด็กทารกยังลืมตาไม่เป็น

    แต่ก็เอาเถอะ ถือว่าโชคดีแล้ว ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์สมบูรณ์ด้วยอวัยวะครบ 32 อันได้ด้วยยากนัก เพราะเราจะได้มีโอกาสใช้ความเป็นมนุษย์สั่งสมคุณงามความดีให้ยิ่งๆขึ้นไป แต่บางคนก็เลือกที่จะสั่งสมโทษทรามความชั่วให้หนาแน่นยิ่งๆขึ้นไป อันนี้ก็เป็นเรื่องของนานาทัศนะที่บังคับกันไม่ได้ แต่ควรทำความเข้าใจว่า คนที่คลอดออกมาแล้วตายก็มี ง่อยเปลี้ยเสียขาพิกลพิการก็มี ตายเสียแต่อยู่ในท้องไม่ได้คลอดก็มี ไม่ได้โชคดีทุกรายไปที่จะมีชีวิตเล็ดรอดมาจนถึงบัดนี้

    ดังนั้น การเกิดก็ถือว่ามีคุณต่อเราอย่างใหญ่หลวง คนเราจึงพอใจนึกถึงแต่วันเกิด และจัดฉลองวันเกิดกันอย่างใหญ่โตมโหฬาร ก็ควรที่จะระลึกถึงคุณแห่งความเกิด ว่าทำให้เรามีโอกาสเติมเต็มบางส่วนของชีวิตที่ยังบกพร่องอยู่ นั่นคือ การสั่งสมคุณงามความดีให้ถึงที่สุดนั่นเอง และไม่ควรลืมเนื้อลืมตัว จนลืมนึกไปว่า มันยังมีอีกวันหนึ่ง ที่มาพร้อมๆกับวันเกิด จะว่าเป็นคู่แฝดกันก็ว่าได้ คือ วันตาย นั่นเอง

    แต่คนเราไม่ค่อยจะชอบนึกถึงวันตาย เพราะดูเหมือนว่า มันช่างเป็นอะไรที่ไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย แต่การระลึกถึงความตายนั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เป็นการยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ทรงเน้นให้ระลึกนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกเสียด้วยซ้ำไป แท้จริง มิใช่จะมีคุณแต่ความเกิดอย่างเดียว แม้ความตายก็มีคุณมากมายเช่นกัน ถ้าสัตว์โลกเกิดมาแล้วไม่ตาย โลกนี้คงไม่มีที่ว่างให้อยู่อาศัยกันอย่างสงบสุขได้ ขนาดล้มตายกันวันละมากๆทั้งคนและสัตว์ ก็ยังต้องแก่งแย่งกันทำมาหากิน รบราฆ่าฟันกันไม่ได้หยุดไมได้ถอย ถ้าไม่ตายกันเสียเลย แล้วจะอยู่กันได้อย่างไร

    หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก นี้ มันก็เกิดของมันอยู่ทุกวัน และมันก็ตายของมันอยู่ทุกวัน แต่คนเราไม่ได้ใส่ใจสำเหนียกสอดรู้มันเท่านั้นเอง ร่างกายมีกำลังวังชามาก ดูเปล่งปลั่งสดใส ก็เพราะหนังเนื้อเอ็นกระดูกมันเกิดมาก ร่างกายมันเหี่ยวแห้งทรุดโทรมลงไป ก็เพราะหนังเนื้อเอ็นกระดูกมันตายมากนั่นเอง ถ้าหนังเนื้อเอ็นกระดูกมันไม่เกิดไม่ตายเอาเสียเลย แสดงว่า ร่างกายของเรา มันต้องอยู่ยงคงกระพัน เป็นอย่างไรก็เป็นอยู่อย่างนั้น แต่ร่างกายเรานี้ มันก็เปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมอยู่ทุกวัน แม้เราจะบำรุงบำเรอมันขนาดไหน มันก็เหี่ยวแห้งทรุดโทรมลงไปตลอดเวลา

    นั่นคือ ลางบอกเหตุว่า เวลานี้เราเริ่มตายมากกว่าเกิดแล้วนะ เรายังจะมัวประมาทอยู่อีกหรือ? ลมหายใจของเรายังจะเหลืออยู่อีกมากน้อยสักเพียงไหน ความดีของเราที่ยังบกพร่องอยู่ เราได้เติมเต็มแล้วหรือยัง? ศีลของเราเต็มแล้วหรือ? สมาธิของเราเต็มแล้วหรือ? ปัญญาของเราเต็มแล้วหรือ? เรามีเวลาเหลือเฟือแล้วหรือ? ที่จะเติมเต็มสิ่งบกพร่องเหล่านี้ให้สมบูรณ์ สมกับที่เราได้มีโอกาสเกิดมามีมนุษย์สมบัติครบถ้วนบริบูรณ์ เรารู้ไหมว่าวันไหนจะเป็นวันตายของเรา ทุกคนเกิดมาก็ตายในวันนี้ทั้งนั้น ไม่มีใครจะไปตายในวันพรุ่งนี้ ต้องตายวันนี้ด้วยกันทุกคน

    เราแน่ใจแล้วหรือ? ว่าวันนี้เราจะไม่ตาย แล้วใครจะกล้าฟันธงตอบว่า วันนี้เราจะไม่ตายอย่างแน่นอน และต้องตอบตัวเองให้ได้ทุกวันนะ ก็คนที่ตายในวันนี้ทุกคน ก็ไม่มีใครคิดว่าตัวเองจะตาย แม้กระทั่งคนที่กำลังถูกหามเข้าห้องไอซียู ก็ยังคิดว่าตัวเองจะต้องรอดออกมาอยู่นั่นเอง ใครจะไปคิดว่า เข้าห้องไอซียูเพื่อตายเล่า แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ตามเถอะ พอถึงเวลาก็เป็นอันต้องตายทันที ไม่มีโอกาสที่จะต่อรองใดๆทั้งนั้น ยังเป็นห่วงลูกอยู่ ให้ลูกโตก่อนค่อยตายเถอะนะ พระยามัจจุรายก็ส่ายหัวตอบว่า "ไม่ได้" ยังมีงานต้องทำอีกเยอะ ยังติดธุระนั่นอยู่ รอเสร็จงานเสร็จธุระก่อน ค่อยตายไม่ได้หรือ? พระยามัจจุราชก็ยังคงหนักแน่นเยือกเย็นตอบว่า "ไม่ได้อยู่นั่นเอง"
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)
    แต่เวลาเป็นคนเป็นๆสบายดีอยู่ จะไปวัดทำบุญตักบาตรบ้าง ก็ติดธุระนั่น ติดธุระนี่ จะรักษาศีล เจริญภาวนาบ้าง ก็ห่วงนั่นห่วงนี่ ยุ่งไปหมด!! ผลัดวันประกันพรุ่งอยู่ร่ำไป สุดท้ายตลอดชีวิตเลยไม่ได้ทำอะไรพอให้เกิดเป็นคุณงามความดีแก่ตัวเองสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะให้กิเลสคอยต่อรองอยู่ตลอดเวลา ให้ลูกโตก่อนบ้างล่ะ ให้เสร็จงานก่อนบ้างล่ะ เฮ้อ! ดูแล้วมันก็น่าขำละนะ เวลาจะทำความดีให้กับตัวเองเนี่ย มันยากเหลือเกิน ทั้งที่มีแต่ได้กับได้ มันก็ไม่ค่อยอยากจะทำ แต่บทเวลาจะตาย ทั้งที่ไม่อยากตาย ก็จำต้องยอมตายกันหมด โห!! คิดๆดู มันก็ช่างน่าอนาถใจเอาเสียเหลือเกินละเน้อ

    มันตายแต่ร่างกายเท่านั้นล่ะ จิตมันไม่ได้ตายด้วยหรอกนะ ถ้าความดีไม่ถึงที่ อย่าหวังว่าจะได้มาเกิดเป็นคนมีมนุษย์สมบัติครบถ้วน เหมือนอย่างที่ได้มาแล้วในชาตินี้อีกเลย ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองใดๆขวนขวายหาแทบเป็นแทบตาย ก็กินอยู่ใช้สอยได้แค่ชาตินี้เท่านั้น บางทีก็ถูกลักขโมยไปบ้าง ไฟไหม้ไปบ้าง น้ำท่วมไปบ้าง ตายแล้วก็ทิ้งไว้เป็นของคนอื่นทั้งหมด ตัวเองเอาไปไม่ได้สักอย่าง แต่อริยทรัพย์คือความดีทั้งปวง หาได้เท่าไร ทำได้เท่าไร ก็เป็นของเราทั้งหมด ใครมาลักขโมยก็ไม่ได้ ไฟก็ไม่ไหม้ น้ำก็ไม่ท่วม เอาไปใช้ได้ตลอดทุกภพทุกชาติแห่งการเวียนว่ายตายเกิดจนถึงพระนิพพาน

    ผู้มีปัญญาก็จงใคร่ครวญพินิจพิเคราะห์ดูเองเถิด แล้วเลือกทำในสิ่งที่มีคุณค่าต่อตัวเองให้มากที่สุด ไม่ต้องสนใจว่าใครจะว่าอย่างไร หรือเขาจะทำอย่างไร ใครจะคิดอย่างไรเป็นเรื่องของเขา เราไปบังคับเขาไม่ได้ เราเองยังบังคับตัวเองไม่ได้เลย ไฉนจึงจะไปบังคับคนอื่น ฝึกตนเองดีแล้ว จึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่า ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า นั่นคือ ศิษย์พระตถาคตแท้

    :- https://www.doisaengdham.org/บทความแนะนำ/วันเกิด-กับ-วันตาย-.html
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    งานบำรุงใจ
    พระไพศาล วิสาโล
    นอกจากอาชีพการงานหรือการทำมาหากินแล้ว เรายังมีงานด้านในที่ควรใส่ใจด้วย หากอาชีพการงานเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิต งานด้านในก็เป็นสิ่งบำรุงใจ ความสงบและความดีเป็นเสมือนอาหารใจ ที่ทำให้จิตใจเป็นสุขและเจริญงอกงาม ร่างกายนั้นเมื่อถึงวันหนึ่งก็หยุดเจริญเติบโต แต่ใจนั้นสามารถเจริญงอกงามไปได้เรื่อย ๆ ไม่เว้นแม้แต่ในยามเจ็บป่วย

    อุปสรรคสำคัญที่กีดขวางความเจริญงอกงามของใจก็คืออัตตาหรือความเห็นแก่ตัว อัตตาทำให้จิตถูกบีบคั้นด้วยความอยากและความคับแค้น ความเห็นแก่ตัวทำให้จิตคับแคบและหมกมุ่นอยู่กับตัวอง จึงไม่เคยว่างเว้นจากความทุกข์ งานด้านในคือการพาใจให้เป็นอิสระจากการครอบงำของอัตตาหรือมีความเห็นแก่ตัวน้อยลง อัตตานั้นเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรมันมากไปกว่าการรู้เท่าทันมัน ทุกครั้งที่เราเผลอไผลหรือหลงลืม อัตตาหรือความสำคัญมั่นหมายในตัวตนก็ปรากฏ แต่ก็เช่นเดียวกับความมืดที่หายไปทันทีเมื่อมีแสงสว่างสาดส่องเข้ามา ความสำคัญมั่นหมายในตัวตนย่อมคลายไปจากจิตใจเมื่อแสงแห่งสติสาดส่องเข้ามา

    นอกจากการรู้เท่าทันมันด้วยพลังแห่งสติแล้ว การปลุกมโนธรรมขึ้นมายังทำให้อัตตาไม่มีที่ตั้ง เหมือนกับการปล่อยน้ำดีเข้ามาในร่องสวน ย่อมทำให้น้ำเสียถูกขับไล่ไปเอง โดยที่เจ้าของสวนไม่ต้องเหนื่อยกับการวิดน้ำเสียออกไป มโนธรรมนั้นมีอยู่แล้วในจิตใจของเรา แต่มักจะอ่อนแรงหรือซุกอยู่ในหลืบลึกเกินไป จนทำให้อัตตาขึ้นมาครองใจ และกลายเป็นเปลือกหนาที่ครอบใจให้อยู่ในความมืดมน แต่เมื่อใดที่มโนธรรมได้รับการบำรุงหรือกระตุ้นเร้า ก็จะเติบใหญ่จนสามารถทำลายเปลือกแห่งอัตตา เปิดทางให้แสงสว่างสาดส่องเข้ามาในจิตใจได้

    งานด้านในเพื่อบำรุงใจนั้นไม่ได้หมายถึงการหลบหลีกปลีกตัวไปอยู่ป่า หรือนั่งหลับตาภาวนาอยู่ผู้เดียวเสมอไป หากยังสามารถทำได้ท่ามกลางผู้คน หรือทำควบคู่ไปกับอาชีพการงานได้ ความสงบในจิตใจนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ หากขึ้นอยู่กับการวางใจ แม้อยู่ผู้เดียวในห้องก็อาจว้าวุ่นใจได้หากไม่รู้เท่าทันความคิดหรือปักจิตอยู่กับเสียงรบกวน แต่หากมีสติรู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบและอารมณ์ที่ผุดขึ้น แม้ทำงานกับผู้คนก็ยังสามารถรักษาใจให้สงบได้

    การทำงานสามารถเป็นเครื่องฝึกฝนจิตใจได้เป็นอย่างดี นอกจากการฝึกสติหรือดูใจของตนระหว่างทำงานได้ งานยังช่วยเสริมสร้างมโนธรรมให้เข้มแข็งได้ หากวางใจอย่างถูกต้อง เช่น เมื่อทำงานก็นึกถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับส่วนรวม ไม่มัวคิดว่า “ทำแล้วฉันจะได้อะไร ?” การคิดถึงผู้อื่นอยู่เสมอทำให้อุปสรรคและความเหนื่อยยากที่เกิดขึ้นกับเรากลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ดังนั้นจึงทำให้เรามีความทุกข์น้อยลงจากการงานและทำให้เราทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

    ช่างก่ออิฐสามคนทำงานอยู่ใกล้กัน คนแรกทำอย่างเนือยนาย ก่ออิฐได้ไม่กี่ก้อนก็พักแล้ว ปล่อยเวลาผ่านไปนานถึงเริ่มก่ออิฐใหม่ คนที่สองท่าทางขยันกว่าคนแรก แต่ทำไปก็ดูนาฬิกาไป หน้าตาไม่ค่อยสดใส ส่วนคนที่สามนั้นทำงานอย่างกระฉับกระเฉง แม้เหงื่อจะท่วมตัว แต่ก็มีสีหน้าแช่มชื่น

    เมื่อไปถามทั้งสามคนเขากำลังทำอะไรอยู่ คนแรกตอบว่า “ผมกำลังก่ออิฐ ” คนที่สองตอบว่า “ผมกำลังก่อกำแพง” ส่วนคนที่สามตอบว่า “ผมกำลังสร้างวัดครับ”

    ทั้งสามคนทำงานอย่างเดียวกัน แต่อากัปกิริยาและความรู้สึกแตกต่างกัน สองคนแรกนั้นนอกจากเห็นว่างานของตนไม่ได้มีคุณค่ามากไปกว่าการก่ออิฐก่อกำแพงแล้ว ลึก ๆ ก็คิดว่างานที่กำลังทำอยู่เป็นแค่อาชีพที่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตนเท่านั้น ตรงข้ามกับคนที่สามซึ่งเห็นว่าตนกำลังสิ่งที่มีคุณค่าต่อศาสนา เขาไม่ได้คิดว่าตนกำลังประกอบอาชีพเท่านั้น แต่เป็นการทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม มีส่วนในการทำบุญมหากุศล เขาจึงทำด้วยความกระตือรือร้น ไม่รู้จักเหนื่อย ทั้ง ๆ ที่อาจทำมากกว่าอีกสองคนด้วยซ้ำ
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)
    การคิดถึงประโยชน์ของผู้อื่น ทำให้ไม่มีที่ว่างให้อัตตาเข้ามาครอบงำใจเราได้ ความอ่อนน้อมถ่อมตัว ไม่ถือตัวถือตน จึงเกิดขึ้นได้ง่าย มีเรื่องเล่าว่ามีคนพบเด็กหญิงอายุ ๑๒ ขวบนอนซมอยู่ริมถนน จึงพามาส่งโรงพยาบาล เด็กเป็นไข้สูงมาก หมอหนุ่มจึงเอายาน้ำป้อนใส่ปากเด็ก แต่เด็กกลับปัดมือหมอจนช้อนหลุดมือ หมอพยายามอีกครั้ง เด็กก็ยังปัดอีก หมอหนุ่มโมโหมาก เดินออกจากห้องไปเลยเพราะไม่เคยเจอใครทำเช่นนี้กับตัวมาก่อน

    เมื่อหมอใหญ่รู้ก็มาหาเด็กที่ห้อง หมอใหญ่ลงมือป้อนยาด้วยตัวเอง แต่เด็กก็ยังขัดขืน ปัดมือหมอจนช้อนหลุด ยาเปรอะพื้น หมอป้อนยาอีกครั้ง คราวนี้พูดปลอบว่า “กินยาหน่อย ไม่ขมหรอก” แต่เด็กก็ยังไม่ยอมให้ยาเข้าปาก ปัดอีกครั้งจนยากระเซ็นเลอะเสื้อของหมอ แต่หมอก็ไม่โกรธ พยายามเป็นครั้งที่สาม คราวนี้นอกจากพูดเชิญชวนแล้ว ก็ยังยิ้มให้ด้วย เด็กปัดมือหมออีกครั้งแต่คราวนี้เบาลง

    หมอป้อนยาเป็นครั้งที่สี่ นอกจากสบตาเด็กแล้วยังอ้าปากเชิญชวนให้เด็กทำตาม ไม่ต่างจากแม่ที่พยายามป้อนข้าวใส่ปากลูกน้อย เมื่อช้อนสัมผัสปาก เธอทำท่าจะปัดมือหมอ แต่แล้วก็ชะงักและยอมเปิดปาก เมื่อกินยาเสร็จเด็กก็หันตัวไปซุกกับหมอน ราวกับเสียใจในสิ่งที่ได้ทำลงไป
    หมอใหญ่ชนะใจเด็กสาวได้ก็เพราะเขาอดทนที่จะทำดีกับเธอ โดยไม่โกรธเคืองเธอเลย หมอใหญ่มีประสบการณ์มากพอที่จะรู้ว่าเด็กสาวมีปัญหา เธออาจถูกข่มเหงรังแกจนไม่ยอมไว้ใจใคร และไม่ยอมที่จะรับความช่วยเหลือจากใคร แต่หากหมอใหญ่คิดถึงแต่ตัวเอง ก็คงยอมไม่ได้ที่จะให้เด็กทำกิริยาอาการอย่างนั้นกับเขา เขาคงนึกในใจไม่ต่างจากหมอคนแรกว่า “ ถือดียังไงถึงทำกับฉันแบบนี้ ฉันอุตส่าห์ปรารถนาดีกับแก” แต่ความคิดเช่นนั้นหาได้อยู่ในจิตใจของเขาไม่ เพราะในใจของเขาคิดแต่เพียงว่า “ทำอย่างไรเด็กถึงจะยอมกินยาได้ ?” หมอไม่ได้คิดถึงตัวเองเลย สิ่งที่หมอใส่ใจคือตัวเด็กมากกว่า หมอสนใจว่าจะช่วยเด็กให้หายป่วยได้อย่างไร

    ถ้าเราคิดถึงประโยชน์ของผู้อื่นเป็นสำคัญ ก็จะมีเรื่องมากระทบอัตตาได้ยาก เพราะเมตตากรุณาเข้ามาแทนที่อัตตา เราจะทุกข์เพราะถ้อยคำหรือการกระทำของผู้อื่นน้อยลง เมื่อถูกตำหนิ แทนที่จะตกอยู่ในร่องความคิดว่า “ทำไมถึงมาว่าฉัน ?“ หรือ “ถือดีอย่างไรถึงมาพูดกับฉันอย่างนี้?” เรากลับสนใจว่า “ทำไมเขาถึงพูดอย่างนั้น?” สำหรับคนที่ใฝ่รู้ใฝ่ความจริง สิ่งที่เขาสนใจก็คือ “ที่เขาพูดนั้นจริงไหม?” คนเราถ้าเอาเมตตากรุณาหรือปัญญานำหน้า ไม่ว่ามีอะไรมากระทบ ก็ไม่กระเทือนถึงใจ แต่ถ้าเอาอัตตานำหน้า อัตตาก็จะถูกกระทบไม่หยุดหย่อน เพราะไม่ว่าคิด พูด ฟัง หรือทำ ก็มีแต่ “ตัวฉัน”โดดเด่นเป็นประธานอยู่เสมอ

    ชาวบ้านคนหนึ่งเป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง มารักษาที่โรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง วันหนึ่งหมอที่ตรวจร่างกายประจำไม่อยู่ มีหมอด้านสูตินรีเวชมาตรวจแทน เมื่อตรวจเสร็จ หมอก็เขียนใบสั่งยา โดยเพิ่มจากเดิม ๑ เม็ดเป็น ๒ เม็ด คนไข้สงสัยจึงถามหมอว่า “หมอ แล้วมันจะดื้อยาไหม ?” ทันทีที่ได้ยิน หมอก็ทำเสียงแข็งใส่คนไข้ว่า “แล้วลุงเป็นหมอหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นลุงมาเป็นหมอเองไหม? ” ว่าแล้วก็ไล่คนไข้ออกจากห้องตรวจ

    เมื่อได้ยินคนไข้ทัก อะไรทำให้หมอโกรธหากไม่ใช่เพราะฤทธิ์เดชของอัตตาที่รู้สึกถูกกระทบจากคำทักท้วง แต่หากหมอผู้นั้นมีสติเท่าทันอัตตา ก็จะไม่ฉุนเฉียวอย่างนั้น แทนที่จะเคืองในใจว่า “พูดกับฉันอย่างนี้ได้อย่างไร ? ดูถูกฉันหรือไง?” ก็จะมองอีกมุมหนึ่งว่า “อะไรทำให้เขาพูดอย่างนั้น?” และหากหมอคิดถึงประโยชน์ของคนไข้ ก็จะรู้ได้ไม่ยากว่าคนไข้กำลังวิตกกังวล แทนที่จะโกรธ ก็จะอธิบายให้คนไข้หายวิตกกังวล หาไม่ก็อาจลดยาลงหากรู้ว่าตัวเองผิดพลาดไป

    ผู้ที่นึกถึงคนอื่นอยู่เสมอ เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น เขาจะคิดถึงคนที่เดือดร้อนก่อนที่จะนึกถึงตัวเอง อะไรที่จะช่วยคลายความเดือดร้อนของผู้นั้นได้ เขาก็พร้อมที่จะทำ รวมทั้งเอ่ยปากขอโทษโดยไม่สนใจว่าจะเกิดผลต่อตนเองอย่างไร อย่างน้อยคำขอโทษก็ช่วยเยียวยาจิตใจของผู้นั้นได้บ้าง หมอผ่าตัดคณะหนึ่งทำงานผิดพลาดทำให้เด็กเสียชีวิต หมอผู้หนึ่งในคณะนั้นเสียใจมาก เมื่อออกจากห้องผ่าตัดเขาเดินไปหาแม่เด็กและขอโทษเธอ ในเวลาต่อมาแม่ของเด็กได้ฟ้องหมอทั้งคณะ ยกเว้นคนเดียวคือหมอผู้นั้น หมอผู้นั้นไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อทนายของหมอถามแม่เด็ก ก็ได้คำตอบว่า “เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ใส่ใจ”

    ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าขอโทษเมื่อทำผิดพลาดเพราะกลัวว่าจะก่อผลเสียหายแก่ตนตามมา เช่น เป็นหลักฐานให้แก่ฝ่ายโจทย์ในการฟ้องเรียกค่าเสียหาย แต่การทำด้วยเจตนาที่เห็นแก่ตัวเช่นนี้บ่อยครั้งกลับกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดโทสะและทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะหรือแก้แค้น ใช่หรือไม่ว่าอัตตาของฝ่ายหนึ่งย่อมปลุกเร้าอัตตาของอีกฝ่ายเสมอ ในทางตรงข้ามการกระทำด้วยเจตนาที่ปรารถนาดีย่อมบันดาลใจให้อีกฝ่ายอยากทำดีด้วย มโนธรรมของฝ่ายหนึ่งย่อมดึงดูดมโนธรรมของอีกฝ่ายให้แสดงตัวออกมาเสมอ

    ท่านอาจารย์พุทธทาสย้ำเสมอว่า “การทำงานคือการปฏิบัติธรรม” ไม่ว่าจะทำอาชีพการงาน หรือทำกิจวัตรประจำวัน ก็สามารถเป็นโอกาสปฏิบัติธรรมหรือฝึกฝนจิตใจได้เสมอ เช่น ฝึกให้มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ หรือลดละความเห็นแก่ตัว บ่มเพาะเมตตากรุณา รวมทั้งเสริมสร้างมโนธรรมให้เข้มแข็ง อันจะนำไปสู่การปล่อยวางจากความยึดติดถือมั่นในตัวตน หากปล่อยวางสิ่งติดยึดได้มากและลึกเท่าใด โพธิจิตซึ่งอยู่แกนกลางของใจก็จะงอกงามและเปล่งประกายสุกสว่างมากเท่านั้น ทำให้ชีวิตปลอดโปร่งสงบเย็นอย่างยิ่ง

    :- https://visalo.org/article/suksala06.htm
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    โพธิในเรือนใจ
    พระไพศาล วิสาโล

    เมื่อพูดถึงธรรมชาติของมนุษย์ เราก็นึกถึงความเห็นแก่ตัว “ใคร ๆ ก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น” เป็นประโยคที่เรามักได้ยินอยู่เสมอ และมักประสบกับกับตัวเป็นประจำ
    อย่างไรก็ตามคนเราไม่ได้มีแต่ความเห็นแก่ตัวเท่านั้น ลึกลงไปในจิตใจเรายังมีความเห็นอกเห็นใจและปรารถนาดีต่อผู้อื่น ตลอดจนความเสียสละ และความเชื่อมั่นในสิ่งดีงาม อาทิ ความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งหมดนี้เรียกรวม ๆ กันว่ามโนธรรม

    มโนธรรมหรือความใฝ่ดีทำให้เรามีความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น หรือสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้แก่ส่วนรวม แม้ตนเองจะลำบากหรือสูญเสียทรัพย์ก็ตาม การที่เราปีติหรืออิ่มเอิบภาคภูมิใจเมื่อได้ทำความดี แม้ไม่ได้รางวัลหรือคำสรรเสริญ นั่นก็เพราะเรามีมโนธรรมอยู่ในจิตใจ

    มโนธรรมทำให้เราได้สัมผัสกับความสุขทางจิตใจ เป็นความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพิงทรัพย์ ยศ อำนาจ แต่สุขเพราะได้ทำความดี ช่วยเหลือผู้อื่น หรือเห็นผู้อื่นมีความสุข ตรงข้ามกับความเห็นแก่ตัว ซึ่งแม้จะเป็นแรงผลักดันให้ผู้คนแสวงหาทรัพย์สมบัติและอำนาจ แต่แม้จะครอบครองสิ่งเหล่านั้นมากมายเพียงใด ใช่หรือไม่ว่าเขาเหล่านั้นก็ยังเป็นทุกข์ รู้สึกชีวิตไม่มีความหมาย เพราะไม่ได้ใช้ชีวิตให้มีประโยชน์ หรือสร้างสรรค์สิ่งดีงามแก่ส่วนรวม

    ความเห็นแก่ตัวหรืออัตตาทำให้เราเป็นทุกข์เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีกว่าเรา สุขสบายกว่าเรา แต่มโนธรรมกลับทำให้เราไม่สบายใจเมื่อเห็นคนอื่นทุกข์ร้อนกว่าเรา ขณะเดียวกันก็ทำให้ความทุกข์ของเราเล็กลง คนที่อกหักหรือตกงานจะรู้สึกทันทีว่าความทุกข์ของตนเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเมื่อเห็นผู้คนมากมายสูญบ้านและคนรักจากภัยสึนามิ

    หากจิตของเราแบ่งออกเป็นชั้น ชั้นแรกคืออัตตา ถัดมาคือมโนธรรม คนที่มีอัตตาหรือความเห็นแก่ตัวมาก ย่อมมีเปลือกหรือผิวชั้นแรกที่หนา จนยากที่มโนธรรมหรือความใฝ่ดีจะฝ่าออกมาได้ ส่วนคนที่มีความเห็นแก่ตัวน้อย เปลือกหรือผิวชั้นแรกจะบาง เปิดโอกาสให้คุณธรรมหรือความใฝ่ดีแสดงตัวออกมาได้ง่าย

    อัตตาหรือมโนธรรม จะมากหรือน้อย เป็นเรื่องของการฝึกฝนกล่อมเกลาก็จริง แต่ก็ต้องอิงกับธรรมชาติดั้งเดิมที่มีอยู่แล้ว ปัจจุบันมีหลักฐานยืนยันมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามโนธรรมเป็นธรรมชาติพื้นฐานอย่างหนึ่งของมนุษย์ จะเรียกว่าเมตตาและความเห็นใจติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิดก็ว่าได้ ตัวอย่างเช่น เด็กทารก เมื่อเห็นหรือได้ยินเสียงเด็กอื่นร้อง ก็จะร้องด้วย (แต่จะเงียบหากได้ยินเสียงร้องของตัวเองจากเครื่องบันทึกเสียง) ส่วนทารกที่อายุมากกว่า ๑๔ เดือนจะไม่ร้องเฉย ๆ แต่จะพยายามเข้าไปช่วยเด็กคนนั้น เด็กที่อายุมากกว่านั้นจะร้องน้อยลง แต่จะหาทางไปช่วยมากขึ้น

    ไม่ใช่แต่เด็กเท่านั้น แม้แต่สัตว์ก็ยังมีความเห็นใจ มีการทดลองแขวนหนูเอาไว้จนมันร้องและดิ้น เมื่อหนูหลายตัวเห็นเหตุการณ์ จะมีบางตัวที่พยายามไปช่วยเหลือหนูตัวนั้น จนรู้วิธีคือกดคันบังคับเพื่อหย่อนหนูตัวนั้นลงมาอย่างปลอดภัย

    การทดลองอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ คือมีการฝึกลิงกัง ๖ ตัวให้รู้จักหากินด้วยการดึงโซ่ที่มีอาหารผูกติดอยู่ แต่ทุกตัวพบว่าเมื่อดึงโซ่ทีไรก็จะเกิดไฟช็อตลิงตัวที่ ๗ ผลที่ตามมาคือลิง ๔ ตัวจะหันไปดึงโซ่เส้นอื่น แม้จะได้อาหารน้อยกว่า แต่ไม่ทำให้เพื่อนถูกช็อต ตัวที่ ๕ จะเลิกดึงโซ่ติดต่อกัน ๕ วัน ส่วนตัวที่ ๖ ไม่ยอมดึงโซ่เลยตลอด ๑๒ วัน นั่นหมายความว่าทั้ง ๒ ตัวยอมหิวเพื่อจะได้ไม่ทำให้เพื่อนเจ็บปวด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2025
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)

    นอกเหนีออัตตาและมโนธรรมแล้ว ใจเรายังมีธรรมชาติอีกชั้นหนึ่งซึ่งอยู่ลึกสุด ได้แก่ สภาวะที่เป็นอิสระ ปลอดโปร่ง ผ่องใส ปลอดพ้นจากความเห็นแก่ตัว หรือความยึดถือในอัตตา เป็นสภาวะที่เส้นแบ่งระหว่าง “ฉัน” กับ “ผู้อื่น” หมดไป เกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง จิตอยู่เหนือการแบ่งเป็นขั้วหรือมองโลกเป็นคู่ตรงข้าม ไม่ว่าดี-ชั่ว สุข-ทุกข์ ได้-เสีย เกิด-ตาย ดังนั้นจึงไม่หวั่นไหวกับความผันผวนปรวนแปร หรือความพลัดพรากสูญเสีย


    มนุษย์ทุกคนสามารถประจักษ์ถึงสภาวะนี้ได้ ในยามที่จิตเราสงบ ปราศจากกิเลสตัณหา เป็นสภาวะที่ท่านพุทธทาสภิกขุเรียกว่า “จิตว่าง” คีอว่างจากกิเลสหรือความสำคัญมั่นหมายใน “ตัวกู ของกู” นี้เป็นสภาวะที่มีอยู่แล้วในใจเรา แต่มักถูกเคลือบคลุมด้วยอัตตาหรือความเห็นแก่ตัว จึงทำให้เรารู้สึกหม่นหมองอยู่บ่อยครั้ง ดังมีพุทธพจน์ว่า “จิตนั้นประภัสสร แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่เกิดขึ้นภายหลัง”

    ธรรมชาติส่วนที่สามซึ่งอยู่ลึกสุดนี้ เรียกอีกอย่างว่า “โพธิจิต” คือจิตที่ตื่นรู้ เห็นความจริงแจ่มแจ้ง เป็นศักยภาพที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน แต่จะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการฝึกฝนพัฒนา หากมนุษย์สามารถเข้าถึงโพธิจิต หรือให้โพธิจิตได้แสดงตัวออกมา จะมีความสุขอย่างยิ่ง ความสุขจากโพธิจิตที่เปล่งประกายออกมา ทำให้รู้สึกว่าชีวิตได้รับการเติมเต็ม ไม่ดิ้นรนแสวงหาอีกต่อไป เพราะไม่มีตัวตนที่จะต้องปรนเปรอ ดิ้นรน เป็นความสงบอย่างยิ่ง แต่หากยังไม่ได้สัมผัสกับสภาวะเช่นนี้ ก็จะรู้สึกพร่องอยู่ลึก ๆ และโหยหาตลอดเวลา แม้จะมีสมบัติล้นโลก อำนาจล้นฟ้า หรือแม้จะทำความดีมามากมาย ก็ยังรู้สึกว่าบางสิ่งขาดหายไปในชีวิต

    อุปสรรคที่ทำให้เราไม่อาจเข้าถึงชั้นโพธิจิต(หรือปิดกั้นมิให้โพธิจิตแสดงตัวออกมาได้) ก็คือการยึดติดอยู่กับอัตตา การแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว (เปลือกชั้นแรก) และยึดติดถือมั่นในความดี หรือปล่อยใจขึ้นลงไปกับสุขหรือทุกข์ของผู้อื่น (จิตชั้นที่สอง) เช่น ทุกข์เพราะช่วยคนอื่นไม่สำเร็จ หรือทุกข์เพราะทำดีไม่พอ หรือให้อัตตาเข้ามาครอบงำความดี กลายเป็นการทำดีเพื่อหล่อเลี้ยงอัตตา หรือเกิดความสำคัญมั่นหมายว่าฉันเป็นคนดีนะ (ใครมาตำหนิไม่ได้ หรือถ้าคนอื่นไม่เห็นความดีของฉัน ฉันก็จะโกรธและน้อยใจ) ถ้าใครทำดีกว่าฉัน ฉันก็จะไม่พอใจหรืออิจฉา และถ้าเจอคนที่ไม่ดีเท่าฉัน หรือไม่ดีเหมือนฉัน ฉันก็จะยกตนข่ม หรือดูถูกว่าเขาดีสู้ฉันไม่ได้ เป็นต้น

    จิตชั้นนอกสุดนั้นมุ่งปรนเปรออัตตา ส่วนจิตชั้นที่สอง มุ่งขัดเกลาอัตตาให้ประณีตขึ้นหรือลดอัตตาให้เบาบาง จิตชั้นในสุด คือ สภาวะที่ไร้อัตตา หรือนำไปสู่การไร้ความยึดมั่นถือมั่นในอัตตา

    โพธิจิตเป็นธรรมชาติของจิตที่เราต้องรู้จัก เข้าถึง และ เปิดโอกาสให้แสดงตัว หรือเรียกอีกอย่างว่า หล่อเลี้ยงบ่มเพาะ ก็ได้ เหมือนกับรดน้ำจนเมล็ดแตกเป็นต้นกล้า และจากต้นกล้ากลายเป็นไม้ใหญ่ ที่แผ่ร่มเงา ให้ความสงบเย็น

    โพธิจิตสามารถเบ่งบานเติบใหญ่ได้มิใช่จากการปลีกตัวหลีกเร้นเพื่อบำเพ็ญสมาธิภาวนาเท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดขึ้นได้จากการดำเนินชีวิตประจำวันและทำงานอย่างมีสติ ตื่นรู้ และรู้เท่าทัน
    เวลาอัตตาเข้ามาครอบงำใจ ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็น “ตัวกู ของกู” (เช่น บ้าน “ของกู” งาน “ของกู”) แต่ทำด้วยปัญญาและอุตสาหะ อย่างถูกต้องชอบธรรมและตรงตามความเป็นจริง (ส่วนผลจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย) พูดอีกอย่างคือทำเต็มที่ด้วยใจปล่อยวาง เพราะตระหนักว่า “ความพยายามเป็นของมนุษย์ ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า”

    “จิตวิวัฒน์” คือการพัฒนาจิตชั้นที่สองและสาม คือมโนธรรมและโพธิจิตให้เจริญงอกงาม จนสามารถบันดาลใจให้เกิดความสุข ตลอดจนขับเคลื่อนชีวิตและการทำงานให้เป็นไปในทางที่ดีงาม จนบรรลุถึงคุณค่าสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ และได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเกิดมาในโลกนี้ นั่นคือเข้าถึงอิสรภาพและความสงบเย็น ชนิดที่ความผันผวนปรวนแปรในโลกมิอาจแผ้วพานได้ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความล้มเหลว ความพลัดพราก ความเจ็บ หรือความตายก็ตาม

    :- https://visalo.org/article/suksala03.htm
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    สติรักษาใจ
    พระไพศาล วิสาโล
    มีชายชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งถูกจับโดยไม่เป็นธรรม เขาถูกกล่าวหาว่าฆ่าเมียและถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ถูกส่งไปกักขังบนเกาะที่ไกลโพ้นคล้ายๆ ตะรุเตา อยู่อย่างทุกข์ทรมานมาก เขาพยายามหนีเกือบจะสำเร็จแต่ก็ถูกจับทุกครั้ง ตอนหลังโดนลงโทษขังเดี่ยวในคุกมืดเป็นเวลา ๕ ปี ส่วนใหญ่ไม่มีใครรอด ที่ไม่รอดไม่ใช่เพราะว่าขาดอาหารหรือว่าป่วยกาย แต่ว่าคลุ้มคลั่งเป็นบ้าจนตาย

    ชายคนนั้นรู้กิตติศัพท์ของคุกมืดนี้ดี ดังนั้นเมื่อเข้าอยู่ไปอยู่ในคุกซึ่งแคบขนาดราว ๒ เมตรคูณ ๒ เมตร สิ่งแรก ๆ ที่เขาทำ คือ เดินนับก้าวกลับไปมา เหมือนการเดินจงกรม แต่เขาเป็นฝรั่งไม่รู้จักการเดินจงกรม เขารู้แค่ว่าจะต้องกำกับจิตให้เป็นสมาธิ ไม่เช่นนั้นจิตก็จะดฟุ้งซ่าน สะเปะสะปะ ว้าวุ่น เกิดความกลัว ความวิตกกังวล ความตื่นตระหนก คิดถึงอดีต คิดถึงอนาคต ความคิดนั่นเองที่จะทำร้ายเขา เพราะฉะนั้นเขารู้ว่าวิธีที่จะอยู่รอดได้ก็คือรักษาใจให้สงบ ไม่ว้าวุ่น จึงใช้วิธีเดินนับก้าวอยู่ในคุกแคบๆ เดินกลับไปกลับมา ทำอย่างนี้ไม่ใช่เป็นอาทิตย์ แต่ทำเป็นเดือนเป็นปี อันที่จริงความเป็นอยู่ทางกายก็ลำบากอยู่แล้ว อาหารก็ไม่ค่อยพอเพียง บางทีหิวถึงขั้นต้องกินแมลงสาป แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือจิตใจที่ว้าวุ่นที่สามารถทำให้เป็นบ้าและตายได้

    เขารู้ว่านี้คืออันตรายที่สามารถเกิดขึ้นกับเขาได้ เขาจึงเดินจงกรมอย่างนี้ตลอดเวลาที่อยู่ในคุก สุดท้ายเมื่อครบ ๕ ปีเขาก็เอาชีวิตรอดมาได้ ร่างกายผ่ายผอม ฟันฟางหักเกือบหมดเพราะไม่เจอแสงแดดที่จะให้วิตามินดี ผมขาวโพลน จิตใจก็เกือบจะเป็นบ้า แต่ไม่ถึงกับคลุ้มคลั่ง พัศดีก็ประหลาดใจเพราะไม่เคยมีใครรอดจากคุกมืดนี้ได้เลย

    สุดท้ายเขาก็ดิ้นรนจนเป็นอิสระ มีคนเอาเรื่องราวของเขามาทำเป็นหนังชื่อ “ปาปิญอง” อาตมาได้ดูหนังเรื่องนี้ตอนที่ยังเป็นนักเรียน อดนึกไม่ได้ว่าถ้าตัวเองอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นจะทำอย่างไร แค่นึกใจก็กระเพื่อมแล้ว เพราะเป็นคนกลัวที่แคบ เคยนึกว่าตัวเองถูกขังอยู่ในกระโปรงรถที่ปิดมืดสนิท แล้วรถก็แล่นไปไหนไม่รู้ แค่คิดก็กระสับกระส่ายแล้ว แต่เพราะคิดนั่นเองจึงทำให้กระสับกระส่าย ต้องพาใจกลับมาอยู่กับปัจจุบันจึงจะเป็นปกติ ดูหนังเรื่องนี้แล้วทำให้รู้สึกว่า การเจริญสติหรือการทำสมาธิเป็นเรื่องความเป็นความตายเลยทีเดียว จะอยู่หรือตายก็ขึ้นอยู่กับว่าจิตนี้มีสติและสมาธิหรือไม่

    จริงอยู่มีน้อยคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่การตกอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันสามารถเกิดกับเราได้ตลอดเวลา บางกรณีก็กินเวลาไม่นาน แต่สามารถตัดสินชี้ขาดได้ว่าจะอยู่หรือไป เช่น เกิดไฟไหม้ในอาคาร ผู้คนต้องวิ่งหนีหาทางออกจากอาคาร ใครที่ไม่มีสติก็มักวิ่งตามผู้คนไป การวิ่งตามฝูงชนไปนั้นอันตรายมาก เพราะถ้าวิ่งไปเจอทางตันฝูงชนก็จะหันกลับมา พอฝูงชนหันกลับ คนที่ตามมาข้างหลังก็กลายเป็นอยู่ข้างหน้า ถ้าหนีไม่ทันก็อาจโดนเหยียบตายได้ มีคำแนะนำสำหรับคนที่เจอเหตุการณ์อย่างนี้ว่า อย่าวิ่งตามฝูงชนไป ให้เขาวิ่งไปก่อน ถ้าเขาวิ่งแล้วไม่กลับมาแสดงว่าเขาเจอทางออกแล้ว เราค่อยวิ่งไปทางนั้น แต่ถ้าเขาไม่เจอทางออกเขาก็จะวิ่งกลับมา ระหว่างที่รอก็ต้องยืนชิดกำแพงเอาไว้ อย่าไปยืนกลางทางอาจโดนเหยียบได้
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)
    หลายคนแม้มีความรู้เรื่องนี้ แต่พอไฟไหม้จริงๆ ก็ตกใจ ผู้คนเฮไปไหนก็ตามไปด้วย แล้วก็ถูกเหยียบตาย หรือบางคนอาจเคยรู้มาว่าเวลาไฟไหม้อาคารขณะที่อยู่ในห้อง อย่าจับลูกบิดประตูด้วยมือเปล่า เพราะลูกบิดจะร้อนมาก แต่เมื่อเผชิญเหตุการณ์จริงหากไม่มีสติก็อาจเผลอจับลูกปิดเอาได้เพราะความกลัว อยากจะรีบหนีไฟให้เร็ว ๆ

    ที่จริงยังมีสถานการณ์ที่ดูน่ากลัวน้อยกว่านี้ แต่ก็สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ถ้าหากไม่มีสติ อย่างเช่นเมื่อสองสามปีก่อนมีนักศึกษาไปกินเหล้าแถวรามอินทราจนเมามาย ขณะขับรถกลับบ้านปรากฏว่าปวดฉี่ ก็ออกจากรถไปฉี่ตรงคูน้ำริมทาง พอดีเกิดอาเจียนขึ้นมา ขณะที่ก้มตัวอาเจียนพระสมเด็จฯที่ห้อยคออยู่เกิดตกลงไปในคู ด้วยความเสียดายเขากระโดดลงไปในคูเพื่องมหาพระสมเด็จ ฯ เพื่อนห้ามแต่เขาไม่ฟัง ปรากฏว่าจมน้ำตาย ถ้านักศึกษาคนนั้นมีสติ ก็อาจจะยับยั้งชั่งใจไม่ลงไป แต่เพราะความเมาและความเสียดายพระเครื่อง จึงไม่ทันยั้งคิด กรณีนี้ถ้าเขามีสติก็รอดตาย อาจจะเสียพระเครื่องไปหรืออาจจะไม่เสียก็ได้ถ้างมดีๆ แต่เพราะไม่มีสติจึงเสียหนักกว่านั้น คือ เสียชีวิต

    คงจะเห็นแล้วว่าสติเป็นเรื่องสำคัญมากถึงขั้นชี้เป็นชี้ตายได้ทีเดียว ที่จริงเพียงแค่อยู่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหน เวลาใช้เครื่องไฟฟ้า ถ้าไม่มีสติเอามือเปียกๆ ไปเสียบปลั๊ก ก็อาจถูกไฟดูดตายได้ หรือเดินลงบันไดถ้าไม่มีสติก็อาจตกลงมาหัวฟาดพื้นตายได้ สติจึงสำคัญต่อความอยู่รอดของเราทุกคน มันไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือยหรือเกินจำเป็น ถึงแม้ว่าจะมีชีวิตรอดได้ แต่ถ้าอยู่ด้วยความทุกข์ ด้วยความเศร้าเสียใจ ทุกข์เพราะรู้สึกผิด เพราะความโกรธ ความพยาบาท หรือเพราะความอาลัยอาวรณ์ อารมณ์เหล่านี้สามารถจะทำร้ายจิตใจ ทำให้อยู่ร้อนนอนทุกข์ บางคนถึงกับทนไม่ไหว ตัดสินใจฆ่าตัวตาย

    ชีวิตในยุคปัจจุบันนี้ การมีสติสำคัญมาก เพราะทุกวันนี้ผู้คนทุกข์เพราะความคิดมากกว่าเรื่องอื่น ไม่ใช่ทุกข์เพราะไม่มีอาหารกิน ไม่ใช่ทุกข์เพราะขาดปัจจัยสี่ ไม่ใช่ทุกข์เพราะทำงานเหนื่อยยาก ส่วนใหญ่ทุกข์ทั้งๆ ที่มีชีวิตสะดวกสบาย แต่ก็ยังกลุ้มใจ วิตกกังวล กินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่นเป็นเพราะความคิดที่ปรุงแต่งไปต่างๆ นานา หรือเพราะเสียใจในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว หรือวิตกในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เช่นพอรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ก็ทำใจไม่ได้ มีพยาบาลคนหนึ่งไปตรวจร่างกาย หมอก็อ้ำอึ้งที่จะบอกผล พยาบาลจึงบอกหมอว่า บอกมาเลยๆ ฉันรับได้ หมอจึงบอกว่าคุณเป็นมะเร็งตับ จะอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน พยาบาลคนนั้นช็อกเลย ทั้งที่ดูแลคนป่วยมาสามสิบปี แต่พอมันเกิดขึ้นกับตัวเองก็ทำใจไม่ได้ หายหน้าไปเลย ไม่มาทำงาน ซึมอยู่กับบ้าน อยู่ได้ประมาณยี่สิบกว่าวันก็ตาย ที่ตายไม่ใช่เพราะก้อนมะเร็งในตับมันลุกลามรวดเร็วกว่าที่หมอพยากรณ์ แต่เป็นเพราะใจที่ตื่นตระหนกวิตกกังวลนั่นเอง

    สติที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของเรานั้น ไม่เพียงพอที่จะรับมือกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน คนธรรมดามักคิดว่าฉันมีสติอยู่แล้ว ทำไมต้องฝึกสติอีก สติที่มีนั้นพอเพียงสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวันที่ไม่มีเหตุร้าย ไม่มีเรื่องมากระทบมาก ถ้าชีวิตราบรื่นความสัมพันธ์กลมเกลียว ไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น สติเท่าที่มีอยู่ของคนทั่วไปก็เพียงพอในการดำเนินชีวิตให้เป็นสุขตามอัตภาพ แต่ชีวิตคนเราใช่ว่าจะราบรื่นเหมือนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ บางช่วงก็ขรุขระ มีเหตุร้ายเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด แต่ถ้าเราฝึกสติอยู่เสมอ เจอเหตุการณ์ย่ำแย่เกิดขึ้น เช่น เจ็บป่วยด้วยโรคร้าย อาจเสียศูนย์อยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็จะตั้งสติได้ และแทนที่จะปล่อยใจให้จมอยู่กับความทุกข์ ความเศร้าโศก ก็จะดึงจิตออกมาจากอารมณ์เหล่านั้น และพิจารณาว่าเราจะรักษาร่างกายอย่างไรดี

    ป่วยกายแต่ใจไม่ป่วยก็ได้ เสียทรัพย์แต่ใจไม่เสียก็ได้ แม้มีเหตุร้ายเกิดขึ้น แต่ใจไม่ทุกข์ก็ได้ เป็นเพราะมีสติรักษาใจนั่นเอง
    :- https://visalo.org/article/suksala27.html
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    ความสงบพบได้ทุกหนแห่ง
    พระไพศาล วิสาโล
    ทางมหาวิทยาลัยเมื่อนิมนต์พระลามะจากธิเบตมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะต้อนรับให้ถูกแบบแผนได้อย่างไร เห็นว่านักศึกษาไทยคนนี้เป็นคนเอเชียด้วยกัน คงจะดูแลและอุปัฏฐากพระธิเบตได้ดี นักศึกษาก็ยินดีดูแลให้ ทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นคริสต์ ช่วงเวลาไม่กี่วันที่ได้ดูแลพระธิเบต นักศึกษามีความประทับใจท่านมาก ใครที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระธิเบตก็จะรู้สึกประทับใจเช่นกัน เพราะส่วนใหญ่เป็นคนที่มีอารมณ์ขัน ผ่อนคลาย เป็นกันเอง และมีน้ำใจ

    นักศึกษาไทยดูแลพระธิเบตตลอด ๓-๔ วัน เมื่อถึงวันที่ท่านจะเดินทางกลับ นักศึกษาก็สอบถามเกี่ยวกับวัดของท่านที่อินเดีย และปรารภว่าเมื่อเรียนจบแล้วอยากไปอยู่กับท่านสักระยะหนึ่ง พระธิเบตถามวัตถุประสงค์ นักศึกษาตอบว่า อยากไปสัมผัสกับความสงบที่นั่น เพราะที่กรุงเทพ ฯ ไม่สงบเลย พระธิเบตตอบว่า ยินดีต้อนรับ แต่ขณะเดียวกันก็ติงว่า “ถ้าคุณไม่สามารถพบความสงบที่กรุงเทพฯ ได้ มาอยู่ที่วัดของอาตมาก็คงจะไม่พบเช่นกัน”

    คำพูดของพระธิเบตกระทบใจนักศึกษามาก ทำให้ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ สุดท้ายเมื่อเรียนจบ กลับมาเมืองไทย ก็ตัดสินใจไม่ไปวัดของพระธิเบตท่านนั้น แต่มาสอนหนังสือที่จุฬา ฯ แทน คงเป็นเพราะท่านได้คิดว่า แท้จริงแล้วความสงบนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ อยู่กรุงเทพ ฯ ก็มีความสงบให้เราพบและสัมผัสได้ พูดอีกอย่างคือ ความสงบนั้นอยู่ที่ใจ ถ้าวางใจถูก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็พบความสงบได้

    ความสงบคือความสุขที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จัก แต่จิตใจส่วนลึกแสวงหา หรือถึงกับโหยหา แม้ความสงบจะมีเสน่ห์น้อยกว่าความสนุก ความตื่นเต้น ความเอร็ดอร่อย อย่างหลังนั้นเหมือนกับน้ำหวาน ซึ่งมีเสน่ห์กว่าน้ำจืดหรือน้ำฝน แต่ไม่มีใครที่กินน้ำหวานไปได้ทั้งวัน ใครที่กินน้ำหวานทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้ก็แล้วแต่ ไม่นานก็จะเจ็บป่วย โรคภัยถามหา เช่น โรคเบาหวาน ฟันผุ แต่น้ำจืดหรือน้ำฝนนั้น แม้มีเสน่ห์น้อยกว่า แต่มันเป็นสิ่งที่ชีวิตต้องการจริง ๆ กินทั้งวันทั้งปีก็ไม่เป็นอันตราย ความสุขที่เกิดจากความสงบก็เหมือนกัน อาจจะไม่มีเสน่ห์หวือหวาดึงดูดใจ แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตมาก

    หลายคนคิดว่าความสงบใจจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความสงบจากสิ่งแวดล้อม จึงเลือกที่จะมาอยู่วัด หรือพยายามแสวงหาสถานที่ที่สงบ เช่น พักแรมในป่า หรือไปรีสอร์ต อันที่จริงสิ่งแวดล้อมที่สงบสงัด เป็นสิ่งที่เราควรแสวงหา แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงสรรเสริญ ในโอวาทปาติโมกข์มีข้อความตอนหนึ่งที่ทรงแนะนำพระสาวกนั่นคือ "การนอน การนั่งในที่อันสงัด" อย่างไรก็ตามถ้าเราจะรอแต่สถานที่ที่สงบ สงัด ไร้เสียงรบกวน เพื่อให้ใจเราสงบตามไปด้วย เราอาจไม่พบความสงบใจเลยก็ได้ เพราะสถานที่สงบสงัดเดี๋ยวนี้หายากมาก และถึงแม้จะหาได้ ก็ใช่ว่าจะสงบไปตลอด สถานที่บางแห่งสงบสงัด ไม่มีเสียงรบกวน ไม่มีเสียงวิทยุ โทรทัศน์ แต่คนที่เราอยู่ด้วยอาจทำตัวไม่น่ารัก พูดไม่เพราะ ทำให้เราขุ่นเคืองหรือว้าวุ่นใจได้เสมอ

    จะหาสถานที่ที่เพียบพร้อมทั้งความสงัด และมีคนที่น่ารักเรียบร้อยถูกใจเรานั้นเป็นเรื่องยาก เพราะแม้แต่พ่อแม่ที่รักเรามาก หรือคู่ครองที่มีความรักให้เรามากมาย ก็ยังทำบางสิ่งที่ขัดอกขัดใจเรา หรือพูดจากระทบกระทั่งกัน ทำให้เราขุ่นมัว การอยู่ในที่ที่ไม่มีอะไรมากระทบกระทั่ง ไม่มีเสียงดัง ไม่มีคนพูดจาหรือมีพฤติกรรมขัดอกขัดใจเราเลยเป็นเรื่องยาก เราจึงไม่สามารถหวังความสงบจากสถานที่ได้ ไม่ว่าบ้าน สำนักงาน หรือแม้แต่วัด ถ้าต้องการความสงบก็ต้องพยายามหาที่ใจเรา
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    (ต่อ)
    มีผู้ชายคนหนึ่งไปปฏิบัติธรรม ทำสมาธิภาวนาที่พุทธสมาคมแห่งหนึ่ง ห้องประชุมติดแอร์เย็นสบาย ไม่มีเสียงรบกวน บางช่วงก็นั่งตามลมหาย บางช่วงก็เดินจงกรม รู้สึกสงบมาก ตกเย็นก็เลิกปฏิบัติ ได้เวลากลับบ้าน พอเดินมาถึงที่จอดรถ พบว่ารถของตนออกไม่ได้ เพราะมีรถอีกคันจอดซ้อนอยู่ ความโกรธพุ่งขึ้นมาทันที เขาถึงกับด่าเจ้าของรถคันนั้นอย่างรุนแรง

    ชายผู้นี้เมื่อครู่จิตใจยังสงบอยู่เลย แต่พอเจอสิ่งกระทบใจ ไม่ถูกใจ ก็หัวเสียทันที นักปฏิบัติธรรมหลายคนเป็นเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะเอาจิตใจไปผูกติดกับสิ่งภายนอก เช่น สถานที่ หรือสภาพแวดล้อมที่ราบรื่น พอเจอพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจ ใจที่สงบก็กระเจิงทันที อันที่จริงถ้าหากเขามีสติ รู้ทันอารมณ์ของตนอย่างรวดเร็วฉับไว ความโกรธก็ไม่สามารถเล่นงานจิตใจจนถึงกับระเบิดออกมาอย่างนั้น สติไม่เพียงช่วยให้เห็นความโกรธที่กำลังพลุ่งพล่านในใจ หากมีสติที่ไว ก็จะรู้ทันตั้งแต่ตอนที่มีประกายความไม่พอใจเกิดขึ้น แค่รู้ทันเท่านั้นมันก็จะสงบลงไป ไม่ลุกลามกลายเป็นความโกรธจนห้ามใจไม่อยู่ ต้องพูดด่าออกไป

    สติเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ใจเราสงบได้ด้วยตัวของเราเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อม สติที่คนเรามีอยู่นั้นพอที่จะทำให้เราใช้ชีวิตได้ตามปกติ คนที่ไม่มีสติก็คือคนบ้าหรือคนที่สลบหลับใหล ใครที่มาทำวัตร สวดมนต์ ฟังธรรมบรรยาย อยู่ในความสงบได้ ก็แสดงว่ายังมีสติครองใจพอสมควร ไม่อย่างนั้นก็อาจจะเผลอพูดคุยกัน ที่จริงความอยากพูดคุยก็คงมี แต่เมื่อมีสติรู้ทัน ก็สามารถระงับยับยั้งปากไว้ได้ แต่ถ้ามีเสียงคนเดินกระแทกเท้า มีคนคุยกันอยู่ข้าง ๆ หรือว่ามีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา หลายคนก็จะไม่พอใจทันที ความไม่พอใจนั้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะไม่มีสตินั่นเอง เช่น ใจเผลอไปจดจ่ออยู่กับเสียงเหล่านั้น พอมีความไม่พอใจเกิดขึ้นก็ยังไม่รู้ทัน จึงรู้สึกเป็นทุกข์ นึกด่าเขาในใจว่าไม่มีมารยาท

    เมื่อความไม่พอใจ หรือความโกรธเกิดขึ้น ใจก็ไม่สงบ แต่ถ้าเรามีสติมากกว่านี้ เราก็จะรู้ทันความไม่พอใจที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที แล้วก็วางมันลงได้ แต่ที่เรายังโกรธนานเป็นวันเป็นคืน ก็เพราะว่าไม่รู้ตัว พอไม่รู้ตัวก็ไปยึดหรือแบกความโกรธเอาไว้ หรือไม่ก็ขุดคุ้ยพฤติกรรมต่าง ๆ ในอดีตของคนที่เราโกรธ ทำให้โกรธหนักขึ้น ยิ่งโกรธก็ยิ่งลืมตัว เอาแต่คิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นการซ้ำเติมจิตใจตัวเองให้ทุกข์หนักขึ้น เหมือนกับการจุดไฟเผาใจตัวเอง หรือเอาของแหลมกรีดใจตัวเอง ก็ยิ่งเกิดความทุกข์ทรมาน

    เวลามีความโกรธเกิดขึ้น ถ้าเราไปกดข่มมันก็จะยิ่งดื้อ ยิ่งกดเท่าไร มันก็ยิ่งสะท้อนกลับมามากเท่านั้น ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ว่าแรงกดเท่ากับแรงสะท้อน หลักการนี้ไม่ได้ใช้กับสสารอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังใช้กับอารมณ์ได้ด้วย ยิ่งไปกดมัน มันก็ยิ่งสะท้อน ยิ่งกดข่ม ความโกรธก็ยิ่งโผล่มา

    เคยมีคนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโลว่า ทำอย่างไรถึงจะตัดความโกรธให้ขาด หลวงปู่ตอบว่า “ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทัน เมื่อรู้ทันมันก็ดับไปเอง” ความรู้ทันจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีสติ การมีสติช่วยทำให้ใจสงบได้ ไม่ว่าจะมีอะไรมากระทบ หรือเจออะไรที่ชวนให้ไม่ถูกใจ ไม่พอใจก็ตาม ขอให้สังเกตว่า มันทำได้แค่ชวน แต่มันไม่สามารถบังคับเราได้ ถ้ามีสติ เราจะไม่เผลอรับคำชวนของมัน แต่ถ้าไม่มีสติ ก็จะไปรับคำชวนนั้น พอไปรับคำชวนก็จะเกิดความไม่พอใจ เกิดความโกรธ เกิดความทุกข์ใจขึ้นมาทันที

    เวลามีคนด่าว่าเรา คำด่าว่าของเขาเป็นแค่คำชวนให้เราไม่พอใจ เวลามีคนทำอะไรไม่ถูกใจ สิ่งที่เขาทำก็เป็นแค่การชวนให้เราโกรธ ถ้าเรารับคำชวน เราก็โกรธ แต่ถ้าเราไม่รับคำชวน ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น

    ถ้าเราหมั่นดูใจของเรา มีสติ เราก็จะเห็นว่าที่จริงแล้วที่เราทุกข์ ที่เราโกรธ เป็นเพราะใจเราไปรับคำชวนของคนรอบตัว เพราะฉะนั้นจะโทษผู้อื่นฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องโทษตัวเองด้วยที่ไปรับคำชวนนั้น เขาไม่ได้บังคับให้เราโกรธ แต่เป็นเพราะเราไปรับคำชวน เราก็เลยโกรธ เป็นทุกข์ ร้อนรุ่มกลุ้มใจ แม้ว่าจะอยู่ในที่ที่สงบสงัดแต่ใจก็ยังไม่สงบ แต่ถ้าเรามีสติ เรารู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะอยู่ในที่ที่วุ่นวาย อึกทึกคึกโครม ใจก็ยังสงบได้

    :- https://visalo.org/article/suksala28.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...