เรื่องเด่น ผลที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมาจาก “กรรม” ทั้งสิ้น

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 26 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    (cont.)
    เรื่องที่ ๕ ซื้อบ้าน
    ลูกชายได้มายึดอาชีพทำมาหากินที่กรุงเทพ ฯ เช่าบ้านอยู่ ดิฉันไม่เคยใส่ใจนัก เมื่อมีหลานคนแรกความใส่ใจเกิดขึ้น อธิษฐานขอให้ลูกได้ทีบ้านที่กรุงเทพฯ ได้บ้านถูกใจหลังหนึ่งราคาพอประมาณ สภาพดีมาก วางเงินจำนวนหนึ่ง และขอเข้าอยู่ในบ้าน นัดทำสัญญาจ่าย้งินกัน ดิฉัน เข้าปฎิบัติธรรมที่วัด อธิษฐานขอให้เจ้าหน้าที่ธนาคารที่ขอกู้ซื้อบ้านไว้มีความสุข และอนุมัติเงินกู้ให้แก่ลูกชายด้วยเถิด สวดมนต์ภาวนา อธิษฐานขอเรื่องบ้านอยู่ตลอดเวลา เมื่อธนาคารแจ้งว่าไม่ผ่านการอนุมัติ พวกเราแทบช็อค เพราะใกล้จะถึงวันสัญญาจ่ายเงินแล้ว เราต้องย้ายออกจากบ้านไปต้องเสียเงินที่จ่ายล่วงหน้า เป็นทุกข์มาก

    ดิฉันตัดสินใจโทรศัพท์หาคุรนิรันดร์ที่วัดอัมพวัน เล่าเรื่องธนาคารไม่อนุมัติเงินซื้อบ้านให้แก่ลูกชาย คุรนิรันดร์ให้คำแนะนำพร้อมทั้งหมายเลขโทรสาร จำได้ว่าเป็นวันที่ ๔ พ.ย ๒๕๔๘ ดิฉันได้แฟกซ์โฉนด พร้อมรายละเอียดต่างๆ ถึงหลวงพ่อ ซึ่งอันที่จริงแล้วมาอยากรบกวนพระเดชพระคุณหลวงพ่อเลยแม้แต่นิด เหตุเพราะสุดปัญญาแล้ว อยู่ ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ธนาคารให้ไปเขียนอุทธรณ์เรื่องบ้านและวันที่ ๑๐ พ.ย ๒๕๔๘ ธนาคารก็อนุมัติเงินกู้ซื้อบ้าน ซึ่งเป็นบ้านแห่งบุญที่พวกเราได้พักพิงอยู่ในขณะนี้อย่างมีความสุข บุญคุณใหญ่หลวงนัก ได้แต่ภาวนาอธิษฐานขออำนาจบารมีพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดอภิบาลคุ้มครองให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีความสุข อายุยืนนานตราบนานเท่านาน

    สัจจะในการดำรงชีวิตในปัจจุบันคือ จะก้มหน้าก้มตาใช้กรรมเก่าที่เคยกระทำไว้ ส่วนกรรมใหม่จะไม่สร้างอย่างเด็ดขาด
    คณะผู้จัดทำ http://www.jarun.org/contact-webmaster.html

    หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ บรรพบุรุษ บิดา มารดา ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทุกภพ ทุกชาติ
    :- https://rulesofkarma.wordpress.com/๒๐๖-กรรมจัดสรร/
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    วิธีแก้กรรมตนเอง ให้เกิดผลดีกับชีวิต พ้นทุกข์
    "กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง" สํานวนสุภาษิตนี้คล้ายคลึงกับการ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตามหลักทางพุทธศาสนา เชื่อกันว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีกรรมเป็นของตนเอง เมื่อทำให้ผู้ใดเจ็บปวดย่อมต้องได้รับผลของกรรมนั้นกลับคืน ซึ่งวิบากกรรมของแต่ละคนล้วนแตกต่างกันออกไป บางคนป่วยไม่ทราบสามารถ บางคนลำบาก บางคนตกงานบ่อย วิบากกรรมนี้ตามมาหลายภพหลายชาติ ซึ่งมีส่วนทำให้เราเกิดมาแตกต่างกัน
    กรรม คือ การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ทั้งในอดีตชาติ หรือในปัจจุบันก็ล้วนเป็นกรรมทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมีผลกระทบต่อปัจจุบันและอนาคต ใครทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นย่อมไปตกอยู่ที่ผู้กระทำ ไม่มีใครหลุดพ้นหรือหนีจากกฎแห่งกรรมได้ วิบากกรรมของแต่ละคนก็แตกต่างกัน บางคนว่างงาน บางคนไม่ประสบความสำเร็จกับการงาน ครอบครัวมีเหตุต้องทะเลาะกันเสมอ มีปัญหากับคนรักเป็นระยะๆ สร้างความทุกข์ให้กับตนเองอย่างมากมายมหาศาล

    ดังนั้นวิธีการแก้กรรมให้ตัวเองจึงมีมากมาย แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคลหนทางในการบรรเทาวิบากกรรมนั้นมี ซึ่งอาจทำได้หลายวิธีถ้าเจ้ากรรมนายเวรจากส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายบริเวณที่เจ็บปวดได้อโหสิกรรม จะหายเจ็บป่วยทันที กรรมนี้จะเบาบางและชีวิตจะดีขึ้น โดยสังเกตจากตัวเราว่า มีสิ่งที่ดีเข้ามามากขึ้นที่ป่วย ก็จะหาย ที่จนก็จะเริ่มมี แสดงว่าเราเริ่มมีบุญแล้ว หากกรรมยังเยอะ ก็ยังลำบากอยู่
    วิธีการแก้กรรม ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญ เช่น การใส่บาตร ถือศีล กินเจ ช่วยผู้ที่เดือดร้อน ถวายสังฆทาน สวดมนต์ กราบบิดามารดา ล้วนเป็นมหากุศล การทำบุญให้อธิษฐานจิตทุกครั้ง เพื่อนำส่งบุญให้ตัวเอง มีชีวิตที่ดีขึ้น เจริญขึ้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นกุศลและเป็นบุญทั้งสิ้น ให้ "ตั้งนะโม 3 จบ"

    ข้าพเจ้า…..ชื่อตัวเอง…..นามสกุล………เกิดวันที่……….วันนี้ข้าพเจ้าขอตั้งจิตถึงบารมีสิ่งศักดิ์ทั่วสากลโลก รวมถึงองค์เทพองค์พรหมที่ปกปักษ์รักษากาย สังขาร วิญญาณลูกอยู่ วันนี้ลูกตั้งจิตถวาย……บุญที่ทำ……..ลูกขอถวายบุญกุศลนี้แก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ รวมถึงองค์เทพองค์พรหมทั้งหลายให้มีพระบารมีมากขึ้น และขอให้ทุกๆพระองค์นำส่งบุญให้ลูกเจริญขึ้นทั้งการงาน การเงิน และความรัก ให้ลูกมีเดช ปัญญา โภคะ ทุกภพทุกชาติ และขออุทิศบุญกุศลนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ รวมถึงวิญญาณที่ตามมา และ(วิญญาณโปร่งใส)ทุกผู้ทุกคน ศัตรูหมู่มาร มนุษย์ บริวาร ญาติ มิตร คนรับใช้ สามี ภรรยา บุตรธิดา ทุกภพทุกชาติ ขอให้ได้รับมหากุสลนี้ และอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ให้ขาดจากกัน ณ เดี๋ยวนี้บัดนี้เถอะ สาธุ ขอให้ข้าพเจ้ามีบารมีสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น เต็มขึ้น เพื่อช่วยสังคมให้สูงขึ้น และสร้างคนให้เป็นพระต่อไป และให้เกิดปัญญาทางธรรม เกิดปัญญาทางโลกทุกคน สมบูรณ์พูนผลทุกอย่างด้วยบุญที่ทำ สาธุ….
    ทั้งนี้ก็ต้องหมั่นทำความดี ทำบุญตักบาตร เข้าวัดฟังธรรม ช่วยเหลือผู้อื่นไปด้วยจึงจะเป็นการสร้างกรรมดีให้เกิดขึ้นกับตัวเราเอง การที่เรามีจิตใจดี หรือตั้งใจดี ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นกุศล และเป็นบุญทั้งสิ้น
    :- https://www.sanook.com/horoscope/104853/

     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    อาจารย์ยอด : รวยก็ทุกข์ จนก็ทุกข์ [กรรม]

    อาจารย์ยอด
    Nov 12, 2023
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    "เกิดมาก่อกรรม หรือใช้หนี้กรรม" วิสัชนาธรรมครั้งที่ ๑๑๘ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

    Dr.V Channel
    Aug 20, 2023

    "เกิดมาก่อกรรม หรือใช้หนี้กรรม" วิสัชนาธรรมครั้งที่ ๑๑๘ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
    ได้ยินบ่อยที่คนมักจะพูดว่า “เกิดมาเพื่อใช้หนี้กรรม” แต่ในหลักพระพุทธศาสนา ไม่ได้สอนให้ก้มหน้าก้มตายอมรับกรรมแต่เพียงอย่างเดียว ยังสอนให้เราสร้างกรรมใหม่ เพื่อเปลี่ยนแปลงผลของกรรมด้วย
    วันนี้เรามาศึกษาเรื่อง “กรรม” ซึ่งเป็นประเด็นหลักในศาสนาของเรากันนะครับ
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    อาจารย์ยอด : บาตรแตกสาแหรกขาด [กรรม]

    อาจารย์ยอด
    May 22, 2023

     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    กฎแห่งกรรมคือปัญหาของสังคมไทย?
    ดร. นพ.มโน เลาหวณิช ผู้อำนวยการ สถาบันคานธี อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรม ม.รังสิต

    thaipublica-กฎแห่งกรรม-02-620x349.jpg

    ชาวพุทธในประเทศไทย เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา และศรีลังกา คุ้นชินกับการสอนเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ตั้งแต่อ้อนแต่ออกและพระขึ้นเทศน์สอนคู่กับการสอนเรื่องพุทธประวัติ และให้ชาวพุทธมีความเชื่อว่าเจ้าชายสิทธัตถะ ตรัสรู้ออกบวชได้ก็เพราะทรงบำเพ็ญบารมีมามากในอดีต นับด้วยสี่อสงไขยแสนมหากัลป์ เป็นเรื่องที่ฟังแล้วสอดคล้องกับชาดกนับร้อยเรื่องที่ให้เชื่อในกฎแห่งกรรม

    เหมือนกับว่า “กฎแห่งกรรม” นั้นเหมือนกับกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในวิชาวิทยาศาสตร์ เหมือนแรงดึงดูดของโลก ไม่ว่าใครทำอะไรไว้ ในที่สุดก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้นเสมอไป ไม่มีข้อยกเว้น แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าเอง ก็ต้องรับกรรม เช่น ถูกพระเทวทัตต์ปองร้ายกลิ้งหินลงมาเพื่อประทุษร้ายพระองค์จากภูเขาสูง จนหินก้อนใหญ่นั้นแตกออกเป็นเศษเล็ก ๆ ทำให้พระองค์บาดเจ็บห้อพระโลหิตที่ขาเป็นต้น เหตุการณ์ในพุทธประวัติและชาดกต่าง ๆ ล้วนสอดคล้องกันจนทำให้ชาวพุทธเชื่อกันว่า กฎแห่งกรรมนั้นมีจริง ศักดิ์สิทธิ์จริง และเป็นสัจธรรมที่ไม่มีผู้ใดบังอาจที่จะท้าทายได้ เป็นคำสอนหลักในพระพุทธศาสนา

    แม้ในพระไตรปิฎกเองก็มีพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าทรงแนะให้ชาวพุทธคำนึกอยู่บ่อย ๆ ว่า “ยํ กมฺมํ กริสฺสนฺติฯ” (ใครทำกรรมได้ไว้) “ตสฺส ทายาทา ภวิสฺสนฺติฯ” (ย่อมเป็นทายาทแห่งกรรมนั้น) ซึ่งชาวพุทธทั้งภิกษุและฆราวาสท่องกันเป็นประจำ

    แม้ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาขยายความ “ธรรมบท” (ธมฺมปทฺถกถา) ซึ่งเป็นคัมภีร์หลักที่พระเณรร่ำเรียนกันทั้งแผ่นดิน ตอกย้ำความเชื่อในกฎแห่งกรรม คัมภีร์นี้มีอยู่ด้วยกัน 8 เล่ม ทั้งหมดมีเรื่องราวที่ว่าด้วยการส่งผลแห่งกรรม ให้ชาวพุทธเชื่อว่า กรรมย่อมส่งผลแก่ผู้กระทำกรรมนั้นอย่างแน่นอน ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า ขึ้นอยู่กับเจตนาในการทำกรรมนั้นว่า มีเจตนาแรงกล้าเพียงใด มีการตริตรองมาก่อนหรือไม่ หากมีเจตนาที่กล้าแข็งเตรียมการมาอย่างดี ย่อมส่งผลให้ชีวิตในวัยเด็กมีความสุข หากไม่ได้ตั้งใจกระทำชีวิตในวัยเด็กก็จะลุ่ม ๆ ดอน ๆ หากผู้ใดเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนแต่ต่อมาร่ำรวยก็เพราะเหตุดังกล่าว แต่ถ้าบั้นปลายในชีวิตประสบความสำเร็จก็แสดงว่าเมื่อทำบุญเสร็จสิ้นไปแล้ว มีการนึกยินดีกับบุญที่ตนเองกระทำ ไม่เกิดความคิดเสียดาย หากทำบุญไปแล้วเกิดความเสียดายก็จะทำให้บุญนั้นไม่ส่งผลให้บั้นปลายในชีวิตมีความสุข ต้องลุ่ม ๆ ดอน ๆ ต่อไป

    ในคัมภีร์ธมฺมปทฺถกถานี้เองมีเรื่องของนายทุคตะ ซึ่งยากจนข้นแค้น มีผ้านุ่งอยู่เพียงผืนเดียว คิดที่จะถวายเป็นทานแก่พระพุทธเจ้าตั้งแต่หัวค่ำก็เสียดายไม่ทำ ต่อมายามดึกก็ยังไม่ทำเพราะเสียดาย มาตัดสินใจเด็ดขาดยกผ้าผืนเดียวที่ตนสรวมใส่อยู่นั้นถวาย ปรากฏว่าได้บุญมาก ขุมทองปรากฏที่บ้านของตนในคืนนั้นเลย นายทุคตะกลายเป็นคนร่ำรวยขึ้นมาเพราะทำบุญกับพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐที่สุดในโลก เรื่องราวของนายทุคตะนี้กลายเป็นเรื่องที่พระนักเทศน์มักหยิบยกขึ้นมาเทศน์บอกบุญญาติโยม เป็นเครื่องมือใช้ในการบอกบุญได้อย่างดี พระนักเทศน์ก็ได้เงินทำบุญมาก ญาติโยมก็ดีใจเพราะเชื่อว่าตนเองได้บุญมากเช่นกัน

    ปัญหาสำคัญของการเรียนการสอนเปรียญธรรมบาลีในประเทศไทย คือไม่มีการสอนพระไตรปิฎกกันเลย ตั้งแต่ประโยค ๑ ถึง ประโยค ๙ นักเรียนบาลี เล่าเรียนกันเฉพาะคัมภีร์ชั้นอรรถกถาเท่านั้น ไม่มีการแปลพระสูตรหรือพระวินัยเลย ซึ่งแตกต่างกับชาติอื่น ๆ หากมีการเรียนพระวินัย จะทราบว่าเรื่องการทำบุญของนายทุคตะนั้นย้อนแย้งกับพระวินัย ซึ่งมีเรื่องของหญิงหม้ายกับลูกสาวที่มีศรัทธาในพุทธศาสนามาก ใส่บาตรทุกวันแม้ว่าจะไม่มีข้าวกินก็ตาม พระพุทธองค์จึงมีบัญญัติให้เป็นครอบครัวที่คณะสงฆ์ยกไว้ ไม่ไปรับอาหารบิณฑบาต เพราะจะเป็นการซ้ำเติมให้ยากจนไปกว่านี้อีก คัมภีร์ชั้นอรรถกถานั้นไทยและพม่าต่างรับมาจากวัดมหาวิหารวัดเดียว ซึ่งในขณะนั้นกำลังระดมทุนเพื่อมาสร้างวัด จึงเต็มไปด้วยนิทานที่สอนอานิสงส์ของการทำบุญและตอกย้ำให้เชื่อในกฎแห่งกรรมเป็นหลัก เพื่อให้ญาติโยมทำบุญกันให้มากนั่นเอง

    ในประเทศไทยคุณ ท.เลียงพิบูลย์ ได้จัดพิมพ์หนังสือชุด “กฎแห่งกรรม” โดยรวบรวมเรื่องราวที่ประชาชนส่งมาให้จากทั่วประเทศ พิมพ์ออกเป็นระยะ ๆ เป็นหนังสือขายดีที่ชาวพุทธไทยจำนวนมากอ่านด้วยความศรัทธา เพื่อให้ชาวพุทธไทยเกรงกลัวการกระทำความชั่ว และมุ่งที่จะทำแต่ความดี ต่อมาได้มีการนำเรื่องราวให้หนังสือกฎแห่งกรรมอ่านออกอากาศทางวิทยุ หรือแม้ทำเป็นภาพยนตร์ออกฉายทางโทรทัศน์ก็มีมาแล้ว วัดที่ร่ำรวยบางวัดสอนเป็นหลักสูตรประจำเช่นสถานีโทรทัศน์ DMC ในรายการ “อนุบาลฝันในฝันวิทยา” โดยมี พระเทพญาณมหามุนี (ครูไม่ใหญ่) เป็นพระอาจารย์สอนประจำ มีการสอนเรื่องกฎแห่งกรรม มีกรณีศึกษามากมาย จนแม้กระทั่งการพยากรณ์การไปเกิดมาเกิดของสัตว์ เช่น พยากรณ์ว่า “สตีฟ จอบส์ตายแล้วไปไหน?”

    เป็นที่น่าสังเกตว่าวัดใดที่สอนเรื่องกฎแห่งกรรม วัดนั้นร่ำรวยเสมอ จนวัดบางแห่งมีความละโมบมากถึงกับประกาศ “ปิดบัญชีโลก เปิดบัญชีสวรรค์” ชักชวนให้สาวกที่งมงายทำบุญกันจนหมดตัว ฆ่าตัวตายกันมามากต่อมากแล้ว ด้วยความเชื่อว่า “สงฆ์คือบุญเขตอันเยี่ยม” พระภิกษุจึงกลายเป็นนักธุรกิจไปเสียเอง เกิดการสะสมเงินทองเป็นนักลงทุนกันเป็นจำนวนมาก

    โดยเผิน ๆ ความเชื่อเรื่อง “กฎแห่งกรรม” นั้นตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” (กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี ปาปกํฯ) จนทำให้ชาวพุทธเถรวาทเชื่อกันว่ากฎแห่งกรรมคือคำสอนหลักในพระพุทธศาสนา และเชื่อในหลักไตรสิกขาที่ว่า “ทาน-ศีล-ภาวนา” โดยหลักการที่ว่า “ทาน” เป็นไปเพื่อการละความโลภ “ศีล” เป็นไปเพื่อการละความโกรธ และ “ภาวนา” เป็นไปเพื่อการละความหลง

    อันที่จริงพุทธภาษิตที่ว่า กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี ปาปกํฯ ที่แปลกันต่อ ๆ มาในประเทศไทยว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วนั้น” ไม่ถูกต้อง “กลฺยาณ” แปลว่า “งาม” “กลฺยาณการี” แปลตรงตัวว่า “ผู้สร้างความงาม” หากแปลภาษิตนี้กันตรง ๆ จะได้ความว่า “ผู้ที่สร้างความงาม งาม ผู้ทำสร้างบาป บาป” ไม่เกี่ยวอะไรกับทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วเลย”

    แม้นภาษิตที่ชาวพุทธท่องกันขึ้นใจว่า ““ยํ กมฺมํ กริสฺสนฺติฯ” (ใครทำกรรมได้ไว้) “ตสฺส ทายาทา ภวิสฺสนฺติฯ” (ย่อมเป็นทายาทแห่งกรรมนั้น) การเป็น “ทายาท” ของ “กรรม” มิใช่หมายความว่าผู้ที่กระทำกรรมใด ๆ ไว้ จะต้องได้รับ ผลของกรรมนั้นเลย การที่บุคคลใดถูกระบุว่าเขาเป็น “ทายาท” ที่จะรับมรดก นั้นมิได้หมายความว่าเขาจะได้รับมรดกนั้น ๆ เสมอไป ทายาทจำนวนมากไม่ได้มรดกเลยก็เป็นได้ การถูกระบุไว้ว่าเป็น “ทายาท” นั้นเพิ่มโอกาสที่จะได้รับมรดกต่างหาก ทายาทจำนวนมากที่ไม่ได้รับผลหรือมรดกที่แม้มีพินัยกรรมเขียนไว้มีปรากฏอยู่ในทุกสังคม
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    (ต่อ)
    การได้รับ “วิบาก” (ผลอันสุกงอมของกรรม) ย่อมขึ้นอยู่กับ “เหตุปัจจัย” ในการส่งผลของกรรมนั้น ๆ ซึ่งเป็นกลไกทางสังคมอีกส่วนหนึ่ง เช่น กฎหมาย สื่อมวลชน ประจักษ์พยาน และขั้วอำนาจในสังคม เป็นต้น

    เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า ท่านพุทธทาส ภิกฺขุ นั้นไม่สอน “กฎแห่งกรรม” เลย เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังนั้นย่อมไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ แต่น่าจะมาจากที่ “ท่านไม่เห็นด้วย” กับคำสอนนี้ต่างหาก และเป็นความจริงที่ในประเทศไทย และประเทศที่เชื่อใน “กฎแห่งกรรม” นั้น กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ จนเป็นการพูดล้อเลียนกฎแห่งกรรมว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป”

    ความเชื่อในกฎแห่งกรรมต่างหากที่ทำให้เกิดความงมงาย ทำให้ชาวพุทธเชื่อว่า “การทำบุญคือการลงทุนอย่างหนึ่ง” โดยนำตัวอย่างจากคัมภีร์อรรถกถาจารย์ขยายความ “ธรรมบท” (ธมฺมปทฺถกถา) ที่เขียนที่วัดมหาวิหาร ศรีลังกาเมื่อ พ.ศ. ๑๐๐๐ ว่าเป็นเรื่องจริงโดยที่ตนไม่นำมาเปรียบเทียบกับพระไตรปิฎกเสียก่อน จนทำให้ชาวพุทธรุ่นหลัง ๆ ทำบุญเพียงนิดเดียวก็จะได้ผลตอบแทนเป็นดอกผลมหาศาล ในชาตินี้หรือในชาติหน้าเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งนั่นเอง เกิดเป็นลัทธิ “บ้าบุญ” ซึ่งได้รับการส่งเสริมด้วยพระภิกษุ เทศน์โปรดญาติโยมให้ทำบุญกันให้มาก ๆ เพื่อจะได้ร่ำรวยมากยิ่งขึ้นในชาติหน้า

    บันทึกของชาวปอตุเกสเล่าถึงศรีลังกาเมืองศตวรรษที่ 15 ว่า ชาวศรีลังกาในยุคนั้นยากจนมาก เพราะกว่าครึ่งของพื้นที่ใช้เพราะปลูกได้เป็นของพระหรือของวัดไปหมด ราษฎรส่วนใหญ่ของประเทศจึงไม่มีที่ทำกิน เหตุเพราะชาวพุทธมีศรัทธายกที่ดินของตนทำบุญให้พระหรือให้วัดเกือบทั้งเกาะ

    แม้ในพม่าก็เช่นเดียวกันในศตวรรษที่ 17 กษัตริย์พม่าต้องเวรคืนที่วัดมาให้ราษฎรทำนากันมาก เพราะชาวพุทธเชื่อในเรื่องการทำบุญ ยกที่นาถวายให้วัดหรือคณะสงฆ์กันมาก จนไม่มีที่ทำกินกันมากต่อมากแล้วเพราะอำนาจ “ลัทธิบ้าบุญ”

    ความเชื่อในกฎแห่งกรรมนอกจากทำให้วัดรวยและพระรวยกันมากต่อมากแล้ว ยังทำให้กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย เพราะชาวพุทธที่เชื่อในกฎแห่งกรรม เชื่ออย่างบริสุทธ์ใจว่า “ตนเองไม่ต้องทำอะไร กรรมเก่าตามทันเอง” กฎแห่งกรรมจึงทำหน้าที่เหมือนหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า ให้คุณให้โทษกับใครก็ได้ ด้วยความเชื่อว่า “โลกนั้นยุติธรรมเสมอ”

    ชาวพุทธจึงมองไม่เห็นบทบาทของตนเองในการให้คุณให้โทษผู้อื่นในสังคมและเกิดลัทธิอนุรักษ์นิยมอย่างสุดโต่ง โดยเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า “กรรมเก่า” ย่อมเล่นงานคนที่กระทำความผิดเสมอโดยที่ตนเองไม่ต้องทำอะไร ความมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการในกระบวนการยุติธรรมหรือระบบการบริหารบ้านเมืองจึงไม่มี

    กฎแห่งกรรมตอกย้ำความเห็นที่ว่า “โลกนี้ยุติธรรมเสมอ” “ความสำเร็จมาจากบุญเก่า” “ความล้มเหลวมาจากกรรมเก่า” เมื่อเห็นคนร่ำรวยมีอำนาจวาสนา ผู้ที่เชื่อในกฎแห่งกรรม ย่อมตีความว่า คน ๆ นี้ทำบุญมาดีจากชาติปางก่อน หากพบคนยากจนก็นึกว่าคน ๆ นี้ทำบุญมาน้อย หากนักเลงใหญ่ลงเลือกตั้ง แม้จะเป็นใหญ่ด้วยการซื้อเสียงก็บอกว่าเป็นเพราะบุญเก่า หากคน ๆ นี้ใช้เงินซื้อตำแหน่งอีก ได้เป็นรัฐมนตรี ก็บอกอีกว่าเป็นบุญเก่า ทั้ง ๆ ที่สังคมทราบกันดีว่าคน ๆ นี้เป็นคนไม่ดีเป็นนักเลงหัวไม้

    ในทางตรงข้ามหากพบคนที่ถูกรถชนขาหักก็บอกว่ากรรมเก่าตามมาทัน จึงต้องขาหัก โดยสรุปคือ ตรรกะของกฎแห่งกรรมคือเอาเหตุการณ์ในอดีตมาอธิบายเหตุการณ์ที่เห็นในปัจจุบันและทำให้เกิดการปล่อยวาง เห็นว่าเหตุการณ์เหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน ด้วยความเชื่อว่าทุกอย่างเกิดมาจากกรรมทั้งหมด มนุษย์แต่ละคนเกิดมาทำเพื่อตนเองเท่านั้น ใครอยากจะร่ำรวยประสบความสำเร็จก็ต้องเข้าวัดทำบุญให้มาก แล้วอธิษฐานให้มั่งมีศรีสุข หากต้องการแก้ทุกข์ก็ให้เข้าวัดทำบุญอธิษฐานให้ตนเองพ้นจากเคราะห์กรรม ด้วยความเชื่อที่ว่าทุกอย่างมากจากกรรมเก่าทั้งสิ้น

    ผลของลัทธิ “กรรมนิยม” นี้ทำให้ชาวพุทธในประเทศไทยและประเทศที่นับถือพุทธแบบเถรวาทเป็น “พุทธเฉย” เสียส่วนมาก ทั้ง ๆ ที่มีวินิจฉัยรู้ดีเรื่องผิดชอบชั่วดี แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในสังคม ชาวพุทธเฉยเหล่านี้ย่อมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า ทุกอย่างมาจากกรรมเก่า ทั้งสิ้น การพัฒนาบ้านเมืองจึงทำได้ยาก เพราะชาวพุทธเหล่านี้มองไม่เห็นบทบาทของตนเอง

    นักเลงอันธพาลทั้งหลายชอบ “พุทธเฉย” เหล่านี้ เพราะทำความชั่วไว้เพียงไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ก็เฉยไม่มีใครเอาเรื่องเอาราวกับตน ทำให้อาชญากรในประเทศได้ใจ คิดว่าตนเองเก่งไม่มีใครกล้ามายุ่งกับตนเอง หากเป็นนักการเมืองที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงด้วยแล้ว ยิ่งได้ใจมากยิ่งขึ้น

    ในทางตรงกันข้ามผู้ที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม หรือ ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย คนเหล่านี้ต้องการการสนับสนุนจากสังคม เพื่อแก้ไขกฎหมาย เอาชนะผู้มีอิทธิพลในสังคม กลับไม่ได้กำลังใจอะไร หากต่อสู้ชนะก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องของบุญเก่า ถ้าแพ้ก็ถือว่าเป็นกรรมเก่า

    เมื่อเป็นเช่นนี้สังคมไทยและประเทศที่นับถือพุทธเถรวาทย่อมเกิดปรากฏการณ์ที่กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ ความเหลื่อมล้ำทางสังคมสูง การฉ้อราษฎร์บังหลวงทั้งฝ่ายข้าราชการและนักการเมืองจึงกระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า คนที่ทำความดีกับสังคมกลับไม่ได้ผลดี คนที่ทำความชั่วกลับได้รับการยกย่องเชิดชู กฎแห่งกรรมจึงสร้างปัญหาแก่สังคมมากมาย ทำให้พระพุทธศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสังคม ไม่ใช่ทางออกของปัญหา

    อันที่จริงแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการส่งผลของกรรม เป็นต้นว่า เราเห็นคนทำความดีในสังคม เราก็นำมาโพสต์ในเฟซบุ๊ก หรือโซเชียลมีเดีย กรรมดีของคน ๆ นั้นก็ถือว่าส่งผลแล้วไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้า การส่งผลของกรรมจึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางสังคมและสำนึกทางสังคมนั่นเอง

    การปฏิรูปการบริหารการปกครองจึงจำเป็นต้องปฏิรูปการตีความ “กฎแห่งกรรม” ให้ตรงกับคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้าเสียก่อน ไม่ใช่ตีความตามอรรถกถา หรือ ตามที่พระเทศน์สอนกันในวัดแล้วแวะให้ทำบุญกันมาก ๆ จนพระคุณเจ้าร่ำรวยมีเงินเป็นเจ้าสัวกันมามากต่อมากแล้วครับ!!

    IMG_9443มโน-thaipublica-620x215.jpg
    :- https://thaipublica.org/2021/03/mano-laohavanich06/
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    อาจารย์ยอด : ปลูกเรือนผิด คิดจนตัวตาย [กรรม]

    อาจารย์ยอด
    Feb 19, 2024
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    กรรมที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
    พระไพศาล วิสาโล
    ทุกวันนี้มีความเชื่อที่แพร่หลายในหมู่คนจำนวนไม่น้อยว่า ความเจ็บป่วยนั้นเป็นผลจากกรรมไม่ดีในอดีต ใครก็ตามที่ล้มป่วยแสดงว่าเขากำลังรับกรรม แพทย์และพยาบาลจึงไม่ควรเยียวยารักษาผู้ป่วยมากนัก เพื่อให้เขาใช้กรรมให้หมดในชาตินี้

    น่าเป็นห่วงก็ตรงที่แพทย์และพยาบาลจำนวนไม่น้อยเชื่อเรื่องนี้อย่างจริงจัง บางคนเชื่อถึงขั้นว่าหากช่วยเหลือคนไข้ที่ป่วยหนักให้รอดพ้นจากความตาย หรือช่วยดูแลคนไข้ระยะสุดท้ายไม่ให้ทุกข์ทรมาน เจ้ากรรมนายเวรของคนนั้นจะไม่พอใจ และอาจมาแก้แค้นเอากับแพทย์และพยาบาล ทำให้เกิดความเดือดร้อนตามมา หลายคนจึงรู้สึกลังเลที่จะช่วยผู้ป่วยเหล่านั้น ที่เมินเฉยหรือทำไปอย่างแกน ๆ ก็คงมีไม่น้อย

    น่าสังเกตว่าคนที่มีความเชื่อดังกล่าวมักเป็นผู้ที่สนใจธรรมะ ชอบเข้าวัดทำบุญรักษาศีล หรือเป็นนักปฏิบัติธรรม คงเพราะเข้าใจว่าความเชื่อเช่นนี้เป็นคำสอนของพระพุทธองค์ ทั้ง ๆ ที่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

    ไม่ใช่แต่ความเจ็บป่วยเท่านั้น เมื่อเกิดเหตุร้ายต่าง ๆ ขึ้นมา ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยมักคิดว่านั่นเป็นผลจากกรรมเก่าในอดีตชาติสถานเดียว แต่ที่จริงนี้เป็นความคิดที่พระพุทธองค์ปฏิเสธ จัดว่าเป็นลัทธินอกพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง มีชื่อเรียกเฉพาะว่า ปุพเพกตเหตุวาท หรือลัทธิกรรมเก่า

    ในสมัยพุทธกาล มีคนกลุ่มหนึ่งประกาศความเชื่อว่า “บุคคลได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม เวทนาทั้งหมดนั้น เป็นเพราะกรรมที่กระทำไว้ในปางก่อน” พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงคนกลุ่มนี้ว่า “สมณพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่า แล่นไปไกลเกินสิ่งที่รู้กันได้ด้วยตนเอง แล่นไปไกลเกินสิ่งที่ชาวโลกรู้กันทั่วว่าเป็นความจริง ฉะนั้น เรากล่าวว่าเป็นความผิดของสมณพราหมณ์เหล่านั้นเอง”

    วิสัยของชาวพุทธย่อมไม่ด่วนสรุปว่าความเจ็บป่วยหรือทุกขเวทนานั้นเป็นเพราะกรรมเก่า ทั้งนี้เพราะมีเหตุปัจจัยต่าง ๆ มากมายที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วย ดังพระองค์ได้แจกแจงว่า “เวทนาบางอย่างเกิดขึ้น มีดีเป็นสมุฏฐานก็มี...มีเสมหะเป็นสมุฏฐานก็มี...มีลมเป็นสมุฏฐานก็มี...มีการประชุมแห่งเหตุเป็นสมุฏฐานก็มี...เกิดจากความแปรปรวนแห่งอุตุก็มี...เกิดจากการบริหารตนไม่สม่ำเสมอก็มี...เกิดจากถูกทำร้ายก็มี...เกิดจากผลกรรมก็มี”

    จะเห็นได้ว่า “ผลกรรม”เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้ผู้คนเจ็บป่วยหรือประสบทุกข์ อีกทั้งมิได้หมายความว่าเป็นผลกรรมในอดีตชาติเท่านั้น อาจเป็นผลกรรมในปัจจุบันชาติก็ได้ พึงสังเกตว่า พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสถึง “เจ้ากรรมนายเวร” เลย ทั้งนี้เพราะคำหรือแนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นในยุคหลัง (อาจเป็นยุคปัจจุบันนี้เอง) และถูกตีความให้ผิดเพี้ยนจนไกลจากหลักการของพุทธศาสนา

    เรื่องราวของเจ้าหญิงโรหิณีในสมัยพุทธกาลเป็นตัวอย่างที่สวนทางกับความเชื่อดังกล่าว เจ้าหญิงแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ผู้นนี้มีโรคผิวหนังทั่วร่าง เมื่อพระอนุรุทธะ ซึ่งเป็นพระอรหันตสาวกและเป็นพี่ชายของเธอทราบความ ได้แนะนำให้เธอสร้างโรงฉัน ระหว่างที่กำลังก่อสร้างเธอมีศรัทธามากวาดพื้นให้สะอาดอยู่เสมอ ปรากฏว่าโรคผิวหนังของเธอก็หายไป เมื่อสร้างเสร็จ เธอก็นิมนต์พระสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขมารับโภชนะอันประณีต

    เมื่อเสร็จภัตกิจ พระองค์ได้เรียกเจ้าหญิงโรหิณีมาเฝ้า และถามว่า โรคผิวหนังของเธอเกิดจากกรรมอะไร เธอตอบว่าไม่ทราบ พระองค์จึงตรัสว่า “โรคของเธอเกิดจากความโกรธ”

    พึงสังเกตว่า กรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นสาเหตุแห่งโรคผิวหนังของเจ้าหญิงโรหิณี มิใช่กรรมในอดีตชาติ แต่เป็นกรรมในปัจจุบันชาติ ความเจ้าอารมณ์ เป็นผู้มักโกรธของเธอ ส่งผลต่อสรีระของเธอ แต่เมื่อเธอได้บำเพ็ญบุญด้วยอัตถจริยา (กวาดพื้นโรงฉัน) จิตใจก็เกิดอิ่มเอิบปีติ แจ่มใสเบิกบาน โรคผิวหนังก็หายไป

    การเหมารวมว่าความเจ็บป่วยทั้งหลายเป็นผลจากกรรมในอดีตชาตินั้น แม้จะไม่ใช่ความคิดแบบพุทธ แต่จะไม่ก่อผลเสียมากนักหากว่าแพทย์และพยาบาลใส่ใจดูแลคนไข้อย่างเต็มที่ แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ แพทย์และพยาบาล รวมทั้งญาติพี่น้องที่มีความเชื่อดังกล่าว มักไม่เต็มใจที่จะดูแลคนไข้ ปล่อยให้เขาทุกข์ทรมานต่อไป ด้วยเหตุผลที่เป็นความหวังดี(อย่างผิด ๆ)ว่า เพื่อให้เขาใช้กรรมจนหมดในชาตินี้ ไม่ต้องรับกรรมอีกในชาติหน้า หรือด้วยเหตุผลที่เป็นความเห็นแก่ตัว คือเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้ากรรมนายเวรของผู้ป่วยกลับมารังควานตนเอง

    จินตนาการได้ไม่ยากว่าหากความเชื่อดังกล่าวแพร่หลายไปทุกสถานพยาบาล จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ป่วย และหากความเชื่อดังกล่าวลามไปสู่ผู้คนทั่วทั้งสังคม จะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ประสบอุบัติเหตุ คนที่กำลังจมน้ำ คนที่กำลังถูกกระทำชำเรา หากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มองว่า ภัยที่กำลังเกิดกับคนเหล่านี้เป็นผลจากกรรมในอดีต ดังนั้นจึงควรปล่อยให้เขาใช้กรรมไป เราไม่ควรไปช่วยเหลือเขา เพราะจะกลายเป็นการแทรกแซงกรรม หรือทำให้เจ้ากรรมนายเวรของคนเหล่านั้นหันมาเล่นงานเราแทน

    เมืองไทยซึ่งใคร ๆ ชอบอ้างว่าเป็นเมืองพุทธ จะกลายเป็นนรกไปทันที หากผู้คนต่างนิ่งดูดาย ไร้น้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ซึ่งกำลังประสบทุกข์ภัยต่อหน้าต่อตา ด้วยเหตุผลเพียงเพราะไม่ต้องการแทรกแซงกรรมของเขา นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของความเข้าใจผิด ในเรื่องกรรม กฎแห่งกรรมที่พระพุทธเจ้านำมาสอนแก่ผู้คนนั้น จุดมุ่งหมายสำคัญก็เพื่อส่งเสริมให้ผู้คนทำความดี มีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน หากผลที่ออกมากลับเป็นตรงกันข้าม คือผู้คนต่างไร้น้ำใจต่อกัน คิดถึงตนเองมากกว่าผู้อื่น ย่อมเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า มีความเข้าใจผิดพลาดเกิดขึ้นแล้วในเรื่องกฎแห่งกรรม
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    (ต่อ)
    ที่จริงหากใคร่ครวญอีกนิดก็จะพบว่า การนิ่งดูดาย ไม่ช่วยเหลือผู้ที่กำลังประสบทุกข์ต่อหน้าต่อตานั้น เป็นการสร้างกรรมอีกอย่างหนึ่ง และไม่ใช่กรรมดีด้วย กรรมดังกล่าวนี้แหละจะส่งผลเป็นวิบากต่อผู้นั้นในวันข้างหน้า อาทิเช่น เมื่อตนประสบเหตุร้าย ก็จะไม่มีใครช่วยเหลือ

    ใช่แต่เท่านั้นลองคิดต่อไปอีกหน่อยว่า หากผู้ประสบเคราะห์ ไม่ว่าผู้ป่วยหนัก ผู้ประสบอุบัติเหตุ หรือผู้ถูกกำลังถูกกระทำชำเรา เป็นพ่อแม่หรือลูกหลานญาติพี่น้องเพื่อนพ้องของเรา เราจะนิ่งดูดายด้วยเหตุผลว่าปล่อยให้เขาใช้กรรมไปหรือไม่ หากคำตอบคือไม่ควรนิ่งดูดาย เราก็ควรทำอย่างเดียวกันกับผู้อื่นด้วยเช่นกัน จึงจะเรียกว่าเป็นชาวพุทธที่แท้

    หากพระโพธิสัตว์ในอดีตชาติมีความเชื่ออย่างที่หลายคนเชื่อในเวลานี้ว่า ควรปล่อยให้ผู้ทุกข์ยากทั้งหลายใช้กรรมไป ไม่ควรช่วยเหลือ ท่านก็คงไม่ได้บำเพ็ญบารมีจนได้เป็นพระโพธิสัตว์ หรือสะสมบารมีจนกลายเป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ในอดีตเสียสละอย่างยิ่งเพื่อผู้อื่น ไม่เลือกว่ามนุษย์หรือสัตว์ จนถึงกับเคยอุทิศร่างกายเป็นอาหารให้แก่แม่เสือที่กำลังหิวโซเพื่อรักษาชีวิตของลูกเสือไม่ให้ถูกกิน (ไม่มีความคิดอยู่ในหัวของท่านตอนนั้นเลยว่า ลูกเสือทำกรรมไม่ดีในอดีต จึงควรถูกแม่เสือกินเพื่อชดใช้กรรม) หากชาวพุทธเห็นความสำคัญของการบำเพ็ญบารมีเพื่อบรรลุธรรมขั้นสูงจนหลุดพ้นจากความทุกข์ ก็ควรถือเอาพระโพธิสัตว์เป็นแบบอย่างควบคู่กับพระจริยาของพระพุทธองค์
    :- https://visalo.org/article/jitvivat255708.html
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,207
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    เชื่อกรรมอย่างไรไม่ให้ตกต่ำ
    พระไพศาล วิสาโล
    แพทย์ผู้หนึ่งล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง เยียวยารักษาเพียงใดก็ไม่เป็นผล อาการทรุดหนักจนต้องใช้เครื่องช่วยชีวิต มิตรสหายหลายคนจึงหันไปพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และผู้มีพลังจิต ล่ำลือว่าที่ไหนมีคนแก้กรรมใด ก็เข้าไปหาหมด คำตอบที่ได้รับจาก “ผู้รู้” คนหนึ่งก็คือ สาเหตุที่หมอท่านนี้ป่วยหนักก็เพราะไปริเริ่มและผลักดันให้มีโครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรคทั่วประเทศ ทำให้คนไข้จำนวนมากที่ถึงคราวจะต้องตายเพราะทำกรรมเลวในอดีต กลับมีชีวิตรอด เจ้ากรรมนายเวรจึงไม่พอใจ ผลร้ายจึงมาตกที่หมอท่านนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง หมอท่านนี้ต้องชดใช้กรรมที่ไปมีส่วนช่วยให้คนที่สมควรตายกลับไม่ตาย

    แม้จะอ้างอิงกฎแห่งกรรมที่คนไทยคุ้นหูมานาน แต่คำอธิบายดังกล่าวมีนัยยะแตกต่างจากที่เคยได้ยินกันมา ที่น่าวิตกก็คือมีคนเชื่อคำอธิบายแบบนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เราเคยได้ยินมาว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ใครที่เบียดเบียนหรือทำร้ายผู้อื่น ย่อมได้รับผลร้ายจากกรรมนั้น แต่คำอธิบายข้างต้นกำลังบอกว่า ทำดีอาจได้ชั่ว การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ทุกข์ยากนั้นสามารถก่อผลร้ายต่อตนเองจนถึงตายได้ ถ้าคนไทยเชื่อคำอธิบายแบบนี้กันแพร่หลายเราคงนึกได้ไม่ยากว่าจะเกิดอะไรตามมา คนไทยจะอยู่กันแบบตัวใครตัวมันมากขึ้น มีน้ำใจหรือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่น้อยลง ผู้คนจะพากันนิ่งดูดายเมื่อเห็นคนทุกข์ยากต่อหน้าต่อตา

    คำอธิบายจาก “ผู้รู้”ข้างต้นให้เหตุผลว่า คนป่วยคนเจ็บทั้งหลายสมควรรับเคราะห์(หรือวิบาก)จากกรรมที่ตนก่อขึ้น การไปช่วยเขาให้รอดตาย คือการไปแทรกแซงกฎแห่งกรรม ดังนั้นผู้ช่วยเหลือจึงต้องรับเคราะห์จากเจ้ากรรมนายเวรแทน ถ้าเชื่อคำอธิบายเช่นนี้ ชาวพุทธก็ไม่ควรเป็นหมอหรือพยาบาล เพราะนอกจากจะเป็นการแทรกแซงกฎแห่งกรรมแล้ว ยังทำให้ตนเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายจากเจ้ากรรมนายเวร(ของผู้ป่วย) ก็ขนาดไม่ได้ช่วยชีวิตคนป่วยโดยตรง แค่ช่วยโดยอ้อมด้วยการผลักดันโครงการ ๓๐ บาทยังได้รับเคราะห์ถึงตาย หากช่วยชีวิตคนป่วยโดยตรงวันแล้ววันเล่านานเป็นปี ๆ แล้วจะแคล้วคลาดจากมหันตภัยได้อย่างไร

    ที่จริงไม่ใช่แต่อาชีพหมอและพยาบาลเท่านั้น อาชีพอื่น ๆ ที่มีส่วนช่วยเพื่อนมนุษย์จากความทุกข์ยาก เช่น ความยากจน ความพิการ หรือช่วยเด็กที่ถูกทิ้ง ก็ไม่สมควรทำทั้งสิ้นด้วยเหตุผลเดียวกันคือไปแทรกแซงกฎแห่งกรรม หรือขัดขวางไม่ให้วิบากกรรมตกถึงคนเหล่านั้นเต็ม ๆ ในทำนองเดียวกันเมื่อเห็นคนจมน้ำ หรือถูกรถชนเจียนตาย ก็ไม่ควรช่วยเหลือเขา เพราะจะไปทำให้เจ้ากรรมนายเวรขัดเคืองหรือพิโรธ ทางที่ถูกคือควรปล่อยให้เขาตายไป ถือว่าเป็น “กรรมของสัตว์” มองให้ใกล้ตัวเข้ามา หากพ่อแม่ญาติพี่น้องลูกหลานหรือมิตรสหายป่วยหนัก เราก็ไม่สมควรไปช่วยเช่นกัน เพราะ “กรรมใครกรรมมัน”

    ไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าเมืองไทยจะมีสภาพอย่างไรหากชาวพุทธเชื่อกฎแห่งกรรมแบบนี้ อันที่จริงกฎแห่งกรรมนั้นน่าจะช่วยให้เราขวนขวายทำความดี หรือใฝ่บุญกลัวบาป เพราะหากทำความชั่วหรือทำบาปแล้วจะส่งผลเสียต่อตนเอง แต่ทุกวันนี้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนมากเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม จึงกลายเป็นว่า นอกจากจะงอมืองอเท้าไม่ทำอะไรเพราะเข้าใจว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตนไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ดีหรือร้าย ล้วนเป็นผลจากกรรมเก่าแต่ชาติก่อนแล้ว ยังไม่คิดที่จะทำความดีหรือช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยากเพราะกลัวว่าจะไปแทรกแซงกฎแห่งกรรมหรือขัดขวางเจ้ากรรมนายเวร แต่เราลืมไปแล้วหรือว่าการปล่อยให้เพื่อนมนุษย์(หรือสัตว์)ประสบทุกข์ต่อหน้าต่อตาทั้ง ๆ ที่เราสามารถจะช่วยได้ แท้ที่จริงก็คือการทำบาปหรือสร้างอกุศลให้แก่ตนเอง ในขณะที่เราสำคัญผิดว่ากำลังปล่อยให้เขาชดใช้กรรมเก่านั้น ตัวเราเองกำลังสร้างกรรมใหม่ที่เป็นบาปไปแล้วโดยไม่รู้ตัว

    จะว่าไปแล้วทุกวันนี้ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยกลัวบาปกรรมน้อยกว่ากลัว “เจ้ากรรมนายเวร”เสียอีก เจ้ากรรมนายเวรในความคิดของเขาเป็นเสมือนสิ่งลี้ลับที่มีพลานุภาพ สามารถทำให้เกิดเคราะห์ร้ายได้ หากเทวดาคือสิ่งที่สามารถดลบันดาลให้เราประสบสิ่งที่พึงปรารถนาในชีวิต เจ้ากรรมนายเวรก็คือสิ่งที่มีอำนาจในทางตรงข้าม แต่เดิมนั้นเข้าใจกันว่าเจ้ากรรมนายเวรคือผู้เคยมีกรรมมีเวรต่อกันในชาติก่อน “กรรม”ในที่นี้หมายถึง “บาปกรรม” หรือ “กรรมชั่ว” ในฝ่ายเราที่กระทำต่อเขาในอดีตชาติ ความเคียดแค้นพยาบาทของเจ้ากรรมนายเวรอาจส่งผลร้ายตามมาถึงเราในชาตินี้ได้ เจ้ากรรมนายเวรจะมีจริงหรือไม่ ยากที่เราจะรู้ได้ แต่อย่างน้อยความเชื่อเช่นนี้ทำให้เราไม่กล้าที่จะเบียดเบียนหรือทำร้ายใครด้วยกลัวว่าเขาจะกลายเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราในชาตินี้หรือชาติหน้า เวลาทำบุญก็อดไม่ได้ที่จะอุทิศไปให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายหากจะทำ

    แต่เดี๋ยวนี้ผู้คนไม่ได้กลัวเจ้ากรรมนายเวรของตนเท่านั้น หากยังกลัวเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่นด้วย จนกระทั่งไม่กล้าไปทำดีกับใคร ด้วยคิดว่าเจ้ากรรมนายเวรของเขาจะโกรธแค้นเอา ภาพของเจ้ากรรมนายเวรทุกวันนี้จึงไม่ต่างจาก “อำนาจมืด”ที่กำลังไล่ล่าเล่นงานใครสักคนด้วยความอาฆาตพยาบาท ดังนั้นเราจึงไม่สมควรไปช่วยเขาเพราะจะโดนอำนาจมืดนั้นเล่นงานไปด้วย ทำนองเดียวกับที่เราไม่ควรยื่นมือไปช่วยเหลือคนที่กำลังถูกนักเลงรุมทำร้ายเพราะเราอาจโดนลูกหลงไปด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...